TIGER พร้อมเทรด mai วันแรก 24 ต.ค. มั่นใจปัจจัยพื้นฐานหนุน-จ่อประมูลโครงการใหม่ใน EEC เพียบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 22, 2018 13:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายงานวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง (TIGER) มั่นใจว่า TIGER จะกลายเป็นหุ้นน้องใหม่ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุน เนื่องจากในอนาคตมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในส่วนของงานภาครัฐ จากการที่รัฐบาลมีโยบายขยายการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งบริษัทฯเตรียมเข้าประมูลงานใหม่เป็นจำนวนมาก โดยมีหลายโปรเจ็คต์ที่เตรียมประกาศผลในเร็วๆนี้ ผลักดันผลงานในปี 62 เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ทั้งนี้ หุ้น TIGER จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ในวันที่ 24 ต.ค.61

ด้านจตุรงค์ ศรีกุลเรืองโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TIGER และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย อิงเกอร์ จำกัด (TEC) เชื่อมั่นว่าหุ้น TIGER ที่จะเข้าซื้อขายในตลาด mai สามารถยืนเหนือราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่หุ้นละ 3.65 บาท เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ผลประกอบการเติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่อง ประกอบกับมีผู้บริหาร และบุคลากรที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในธุรกิจรับเหมาและออกแบบมายาวนาน

TIGER ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มีการถือหุ้น 99.99% ในบริษัท ไทย อิงเกอร์ จำกัด (TEC )หรือ บริษัทแกน ซึ่งเป็นบริษัทแกน (Core Company) ประกอบธุรกิจให้บริการรับเหมาก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธาทุกประเภทรวมทั้งงานออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม (Construction Contractor-Build & Design) นอกจากนี้ยังประกอบธุรกิจสนับสนุนงานรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ 1) ธุรกิจออกแบบและผลิต พร้อมติดตั้งอุปกรณ์จากกระจกและอลูมิเนียม สำหรับงานสถาปัตยกรรมและงานตกแต่งดำเนินการโดย บริษัท ทีอีจี อลูมินั่ม จำกัด หรือ TEA และ 2) ธุรกิจออกแบบและผลิต พร้อมติดตั้งระบบน้ำดีและน้ำเสีย รวมทั้งจัดหาและจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้างอื่นๆ ดำเนินการโดย บริษัท ทีอี แมค จำกัด หรือ TEM

ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 58-60 และ 6 เดือนแรกของปี 61 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.29 ล้านบาท 36.65 ล้านบาท 67.74 ล้านบาท และ 31.30 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตของกำไรสุทธิที่ 294.72% ในปี 59 และ 84.82% ในปี 60 และ 20.38% เมื่อเทียบ 6 เดือนแรกของปี 61 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเมื่อพิจารณาเป็นอัตรากำไรสุทธิ กลุ่มบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 2.51% 7.40% 10.99% และ 8.85% ในปี 58-60 และ 6 เดือนแรกของปี 2561 ตามลำดับ

"ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของ TIGER เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รายได้รวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 30% ต่อปี ขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง เป็นตัวเลข 2 หลักมาโดยตลอด หรือเฉลี่ยประมาณ 16-18% และที่สำคัญงานที่เรารับส่วนใหญ่จะเป็นงานที่มาร์จิ้นอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้ทีมงานที่มีประสบการณ์ ทำให้ลูกค้าแนะนำปากต่อปาก ซึ่งหลังจากที่ TIGER ได้รับเงินจากการขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ จะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าประมูลงานใหม่ๆ ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้ธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด"

ปัจจุบัน บริษัทมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างเข้าร่วมประมูลงานใหม่ๆ อีกหลายโครงการทั้งภาครัฐ และเอกชน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ โดยปัจจุบันสัดส่วนงานภาคเอกชนและภาครัฐอยู่ที่ 60:40 ซึ่งในอนาคตวางเป้าหมายงานภาคเอกชนและภาครัฐ อยู่ที่ 50:50 เพื่อกระจายความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ