ทริสเรทติ้ง คงเครดิตองค์กรของ SYNTEC ที่ "BBB" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 7, 2018 16:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ที่ระดับ "BBB"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งในงานก่อสร้างอาคารสูงและความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัท อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่บริษัทมีความยืดหยุ่นต่อการชะลอตัวของภาวะตลาดจากการมีมูลค่างานในมือที่อยู่ในระดับสูงและการมีสภาพคล่องที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากงานก่อสร้างของบริษัทที่ไม่ค่อยมีความหลากหลายและการมีลูกค้าน้อยราย รวมถึงลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงระดับการก่อหนี้ที่อาจเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทมีแผนในการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานภาพในการแข่งขันมีความแข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในงานก่อสร้างอาคารสูงจะยังคงอยู่ต่อไป บริษัทอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการให้บริการแก่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่หลายรายจากการมีประวัติผลงานที่ยาวนานในการดำเนินงานก่อสร้างจนแล้วเสร็จตามเป้าหมาย รวมถึงการบริการที่น่าเชื่อถือ และความได้เปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุน ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทยังคงได้รับงานโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ จากลูกค้ารายเดิม รวมถึงได้ลูกค้าใหม่ ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับสูงสุดที่ประมาณ 9,100 ล้านบาทในปี 2560

บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทมีอัตรากำไรที่สูงกว่าผู้รับเหมาส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของผู้รับเหมาส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งอยู่ในระดับต่ำกว่า 12% ในขณะที่อัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทอยู่ในช่วง 12%-19%

มีการพึ่งพาโครงการของลูกค้าจำนวนไม่กี่รายค่อนข้างสูง ความแข็งแกร่งของบริษัทถูกลดทอนลงจากการพึ่งพาโครงการอาคารชุดพักอาศัยของลูกค้าจำนวนไม่กี่ราย โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้หลักของบริษัท (65%-75%) มาจากงานก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยโดยลูกค้ารายสำคัญประกอบด้วย บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด ตามด้วย บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) และ บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH)

ทั้งนี้ โครงการของลูกค้าทั้ง 3 รายดังกล่าวสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วนรวมกันประมาณ 40% ของรายได้รวม การกระจุกตัวของประเภทงานก่อสร้างและกลุ่มลูกค้าดังกล่าวสะท้อนการมีตลาดที่ไม่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวถูกลดทอนลงด้วยการมีความเสี่ยงจากไม่ได้รับการชำระเงินค่าก่อสร้างที่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยลูกค้าจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งของบริษัทเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีสถานะทางการเงินที่ดี

ทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทสามารถรับงานก่อสร้างอาคารสูงได้หลากหลายประเภท แต่การเน้นรับงานก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยให้แก่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเป็นกลยุทธ์ของบริษัทในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดความเสี่ยงจากการชำระเงิน

ความผันผวนของอุตสาหกรรมก่อสร้าง บริษัทและบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างต่างก็มีความเสี่ยงจากวงจรของธุรกิจเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ วงจรของธุรกิจก่อสร้างซึ่งเกิดจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่นั้นยังคงเป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิต ทั้งนี้ การชะลอตัวเป็นระยะเวลานานของภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจส่งผลให้บริษัทมีรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ

มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะควบคุมสินเชื่อบ้านที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อาจทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชะลอการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่ารายได้ของบริษัทจะไม่ลดลงมากนัก โดยบริษัทเริ่มหันมารับงานก่อสร้างประเภทอื่น เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน และโครงการพื้นที่ใช้สอยแบบผสมผสาน (Mixed-use) นอกจากนี้ มูลค่างานในมือที่อยู่ในระดับสูงยังจะช่วยประกันรายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าได้อีกด้วย

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าขยายตัว แต่จะยังคงมีขนาดเล็ก บริษัทกำลังขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าเพื่อมุ่งหวังกระจายแหล่งรายได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจดังกล่าวจะยังคงมีขนาดเล็กในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าสร้างรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของรายได้และกำไรทั้งหมดของบริษัท

บริษัทตั้งใจจะลงทุนในโรงแรม 2 แห่งในจังหวัดภูเก็ตและพัทยา โดยโครงการทั้ง 2 แห่งเป็นโครงการที่สร้างขึ้นใหม่และจะดำเนินการโดยบริษัทย่อย คือ บริษัท เจที เทน จำกัด และ บริษัท พีที ทรี แลนด์ จำกัด เงินลงทุนทั้งหมดสำหรับช่วง 3 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าโรงแรมทั้ง 2 แห่งจะเริ่มดำเนินงานในปี 2564 และจะสร้างรายได้รวมกันประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อโรงแรมดังกล่าวเปิดดำเนินงาน รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 800 ล้านบาทต่อปีจากปัจจุบันที่อยู่ต่ำกว่า 400 ล้านบาทต่อปี

ทริสเรทติ้งมองว่าการเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าจะทำให้บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากการแข่งขันและความเสี่ยงจากการมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในตลาด ในขณะที่รายได้จากสินทรัพย์ดังกล่าวจะส่งผลบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทหากสินทรัพย์เหล่านี้สามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและให้อัตรากำไรที่สูงกว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าของบริษัทยังมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้โดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ในระดับต่ำกว่า 20% ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจดังกล่าวจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นหลังการปรับปรุงโครงการ "เอท ทองหล่อ เรสซิเดนซ์" แล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2561

ผลการดำเนินงานแข็งแกร่งจากการมีมูลค่างานในมือจำนวนมาก ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะลดลงเหลืออยู่ที่ประมาณ 7,100 ล้านบาทในปี 2561 โดยการเติบโตของรายได้ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงหลังจากที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายเปิดโครงการใหม่น้อยลงเมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่บริษัทก็มักจะไม่ใช้การตัดราคาแข่งกับผู้รับเหมารายอื่นอีกทั้งไม่เข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างในบางโครงการ ดังนั้น ในปี 2560 สัญญางานก่อสร้างใหม่ของบริษัทจึงหดตัวลง ซึ่งส่งผลให้รายได้ในปี 2561 ลดต่ำลง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีมูลค่างานในมือจำนวนมากราว 13,800 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2561 ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากการดำเนินงานรวมสูงขึ้นเป็นประมาณ 8,000 ล้านบาทในช่วงปี 2562-2564 โดยมูลค่างานในมือจะช่วยประกันรายได้เกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ที่ทริสเรทติ้งประมาณการ

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงรักษาประสิทธิภาพในการดำเนินงานระดับสูงเอาไว้ได้จากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและกลยุทธ์ที่เน้นงานก่อสร้างที่มีอัตรากำไรสูง อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรอาจอ่อนตัวลงในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและราคาวัสดุก่อสร้างเช่นเหล็กที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 12% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเมื่อเทียบกับ 12%-19% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ระดับการก่อหนี้จะเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษานโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไปซึ่งเห็นได้จากการก่อหนี้ในระดับต่ำและการมีเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดจำนวนมาก ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 25% แม้กลยุทธ์ของบริษัทที่จะขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าจะทำให้หนี้สินเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 10% ณ เดือนมิถุนายน 2561 จากระดับต่ำในปี 2558 เนื่องจากบริษัทมีการขยายพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า อย่างไรก็ตาม การก่อหนี้ดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทไม่มีความจำเป็นต้องก่อหนี้มากนัก กลยุทธ์ในการเลือกรับงานจากลูกค้าที่มีสถานะทางการเงินในระดับที่ดีช่วยลดความต้องการเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งส่งผลให้ความต้องการเงินทุนจากแหล่งภายนอกลดต่ำลง โดยบริษัทนำเงินจากการกู้ยืมเกือบทั้งหมดไปใช้เพื่อการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะไม่ลงทุนด้วยการก่อหนี้ใหม่จนเกินตัวเมื่อพิจารณาจากนโยบายทางการเงินที่รัดกุมของบริษัท

อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 163% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จากประมาณ 293% ในปี 2560 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงมาอยู่ที่ 12.3 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จาก 20.9 เท่าในปี 2560 กระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้มีแนวโน้มจะลดลงต่อไปในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าจากความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงและระดับการก่อหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 25% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 4 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งแม้จะลดต่ำลง แต่อัตราส่วนดังกล่าวยังคงสอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัท

สภาพคล่องอยู่ในระดับเพียงพอ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้เป็นอย่างดีในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากนโยบายทางการเงินที่รัดกุม บริษัทมีสินทรัพย์สภาพคล่องและวงเงินกู้สำรองที่มีกับธนาคารอยู่เป็นจำนวนมาก โดย ณ เดือนมิถุนายน 2561 เงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดรวมกับวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้มีอยู่ประมาณ 2,600 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระปีละ 100-200 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ สินทรัพย์สภาพคล่องและวงเงินกู้สำรองที่มีกับธนาคารจำนวนมากไม่เพียงแต่จะเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความได้เปรียบให้แก่บริษัทในการจัดหาวัสดุก่อสร้างอีกด้วย โดยบริษัทสามารถใช้เงินสดจำนวนมากนี้ในการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างก่อนที่ราคาจะปรับเพิ่มขึ้น

บริษัทไม่มีข้อกำหนดทางการเงินสำหรับวงเงินกู้ที่มีกับธนาคาร แต่บริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ไม่เกิน 2 เท่าและอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ที่ไม่น้อยกว่า 1.1 เท่า ซึ่งบริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถดำรงอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ได้ตามข้อกำหนด อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทย่อยดังกล่าวจะได้รับการยกเว้นเงื่อนไขดังกล่าวในปีนี้เมื่อพิจารณาจากสถานะทางการเงินที่แข็งแรงของบริษัท ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทเพิ่งอนุมัติการช่วยเหลือในรูปเงินกู้ระยะสั้นในวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาทแก่บริษัทย่อยด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทเอาไว้ได้ อีกทั้งจะยังรักษาความสามารถในการทำกำไรและสถานะทางการเงินให้ใกล้เคียงกับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าไม่น่าจะทำให้สภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงและระดับการก่อหนี้ปรับตัวสูงอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและสถานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะการเงินของบริษัทด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเกิดจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง หรือต้นทุนที่สูงกว่าคาด หรือการลงทุนที่มากเกินไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ