"สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์"คาดเปิดจองหุ้น IPO ปลาย พ.ย. ก่อนเข้าเทรด mai ราวต้น ธ.ค.61

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 13, 2018 13:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) เปิดเผยว่า บริษัทคาดจะสามารถเปิดให้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่จเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแร (IPO) ช่วงปลายเดือน พ.ย.และน่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอไ ไอ ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.นี้ หลังจากเดินสายนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์) แก่นักลงทุนสถาบันในวันที่ 14 พ.ย.นี้ และในวันที่ 20 พ.ย.จะโรดโชว์กับนักลงทุนทั่วไป

STI เป็นกลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างและให้บริการออกแบบงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม, งานตกแต่งภายใน และงานอนุรักษ์โบราณสถาน มีแผนจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 68,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25.37% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะทำให้ STI มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วอยู่ที่ 134,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 268,000,000 หุ้น

โครงสร้างการถือหุ้น STI ภายหลัง IPO จะประกอบด้วย บริษัท ยูนิเวนเจอร์ แคปปิตอล จำกัด สัดส่วน 26.12%, นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ สัดส่วน 14.93% รวมทั้ง ผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของ STI รวมสัดส่วน 33.58% และผู้ถือหุ้นรายย่อย 25.37%

ปัจจุบัน STI มีบริษัทย่อย คือ บริษัท สโตนเฮ้นจ์ จำกัด หรือ STH ถือหุ้นในสัดส่วน 100%

นายสมเกียรติ กล่าวว่า STI ถือว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความพร้อมทางด้านบุคลากร และทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจกว่า 30 ปี รวมทั้ง การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการดำเนินธุรกิจ จนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าให้มีส่วนร่วมในงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่มาแล้วกว่า 500 โครงการ และเป็นโครงการที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า ดิ เอ็มควอเทียร์, อาคารยูบีซี 3, อาคารสำนักงาน Pearl Bangkok, ห้างสรรพสินค้า Terminal 21 (โคราช) เป็นต้น รวมถึงผลงานของ STH ในการอนุรักษ์โบราณสถานที่สำคัญอันได้รับการยอมรับจากแวดวงผู้ให้บริการงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม เช่น พระราชวังสราญรมย์, พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี, พิพิธภัณฑ์บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี, วังกรมพระนเรศรวรฤทธิ์ (วังมะลิวัลย์), สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินวังบูรพา เป็นต้น

เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ วางแผนจะนำไปลงทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะความรู้พนักงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจประมาณ 40 ล้านบาท ลงทุนอุปกรณ์ระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมด้านการออกแบบ ควบคุมงานก่อสร้าง และการเงิน-การบัญชี ประมาณ 30 ล้านบาท ลงทุนงานระบบและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ประมาณ 20 ล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และเงินทุนในการเข้าลงทุนต่างๆ

"นับเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กลุ่ม STI มีภาพลักษณ์ที่ดีในระดับสากล เพิ่มศักยภาพในการบริหารงาน รองรับภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐบาลและเอกชน การลงทุนด้านการคมนาคมขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการตามแผน ได้แก่ โครงการลงทุนรถไฟฟ้า โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมถึง การเร่งเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายราย เป็นโอกาสของกลุ่ม STI ที่จะได้รับงานเพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น"นายสมเกียรติ กล่าว

สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม STI มีรายได้และกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 58-60 บริษัทมีรายได้ อยู่ที่ 465.78 ล้านบาท, 475.67 ล้านบาท และ 498.34 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิที่ระดับ 54.61 ล้านบาท, 55.92 ล้านบาท และ 57.51 ล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี 61 บริษัทมีรายได้ 277.59 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 60 อยู่ที่ 215.63 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง มีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่มีกำไรสุทธิ 15.63 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากโดยปกติครึ่งปีหลังผลประกอบการจะสูงกว่าครึ่งปีแรกตามรอบการส่งมอบงาน

สัดส่วนรายได้หลักของกลุ่ม STI มาจากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง 88.82% และรายได้จากธุรกิจออกแบบงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม 11.18% ของรายได้จากการให้บริการรวม โครงสร้างรายได้จากการให้บริการ แบ่งเป็นลูกค้าภาคเอกชน 83.90% ภาครัฐบาล 13.47% ศาสนสถาน 1.37% และกลุ่มผู้ว่าจ้างอื่นๆ 1.26% ขณะที่กำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 11.69 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 60 อยู่ที่ 12.26 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 716.52 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 63 สัดส่วนรายได้มาจากงานภาคเอกชน 83.90%, ภาครัฐฯ 13.47%, ศาสนสถาน 1.37% และอื่น ๆ 1.26%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ