(เพิ่มเติม) ING เผยปีนี้ลดสัดส่วนลงทุนกองทุนหุ้นเหลือ 90% หลังมองปัจจัยเสี่ยงมาก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 9, 2008 18:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ในปี 51 บริษัทได้ปรับพอร์ตการลงทุนในกองทุนหุ้นลดลงมาอยู่ที่ 90% ลดลงจากปีก่อนที่ลงทุนในกองทุนหุ้นถึง 98% เนื่องจากมองว่าปีนี้ตลาดหุ้นมีปัจจัยทั้งในเรื่องของการเมืองในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจน ประกอบกับแรงกดดันจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ประมินว่าจะถดถอยลงอีก
"แรงขายของต่างชาติในช่วงที่ผ่านมามองว่าน่าจะเกิดจากปัจจัยดังกล่าว" นายมาริษ กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงต่ำกว่า 800 จุดได้เนื่องจากตัวแปรที่ยังเป็นปัจจัยในเรื่องการเมืองที่ยังกดดันภาวะการลงทุน ซึ่งจะมีความชัดเจนในทิศทางที่ดีได้จนกว่าจะมีการจัดตั้งทีมรัฐบาล รวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่อาจจะเข้าสู่การชะลอตัวลง แต่หากทุกอย่างคลี่คลายก็เชื่อว่าดัชนีก็มีโอกาสที่จะไปที่ระดับ 1,000 จุดได้
สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ยังสามารถลงทุนในกลุ่มพลังงานได้ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนหุ้นธนาคารประเมินว่าราคาจะยังคงแกว่งตัวอยู่และควรซื้อลงทุนก็ต่อเมื่อราคาหุ้นปรับลดลงมากเท่านั้น ส่วนหุ้นอื่นๆ ควรระมัดระวังในการลงทุนเพราะจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ
นายมาริษ กล่าวถึงทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ว่า ควรจะให้โอกาสคนใหม่เข้ามาทำงาน แต่สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการในขณะนี้คือการตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้กำหนดตัวทีมงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ เพราะถือว่าตอนนี้เศรษฐกิจมีความยากลำบากในการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยมีปัญหาเร่งด่วนที่สำคัญคือราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมากในขณะนี้
ส่วนเรื่องมาตรการกันสำรอง 30% นายมาริษ กล่าวว่า คงต้องรอทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณายกเลิกทั้งหมด
ในส่วนภาพรวมเศรษฐกิจโลกภายใต้กระแสเงินทุนโลกนั้น นายมาริษ กล่าวว่า นักลงทุนควรที่จะติดตามสถานการณ์เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ชะลอตัวลงส่งผลกระทบทั่วโลก และตลาดเอเชียก็ได้รับผลกระทบรวมถึงประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วย แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในแถบเอเชียก็ยังมีทิศทางที่ดีกว่าเศรษฐกิจของยุโรป เช่นเศรษฐกิจแถบเอเชีย อย่างประเทศจีนชะลอตัวลงจาก 11% มาอยู่ที่ 10% ซึ่งถือว่าลดลงน้อยจากที่ยังมีข้อดีในเรื่องของสินค้าเกษตรและโภคภัณฑ์ที่ยังมีการเติบโตจากความต้องการที่เพิ่มสูง
"การลงทุนต่อจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากจากเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะตัวเลขของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่อาจจะชะลอตัวลงกดดันปัญหาให้เกิดขึ้น รวมทั้งปัญหาซับไพร์มที่ลากยาวไม่จบได้ง่าย ๆ ทำให้การบริโภคลดลง จึงทำให้บรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ลำบากเหมือนกัน แต่ก็สามารถเลือกลงทุนในลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ถือเป็นการลงทุนที่เข้าใจง่ายที่สุด เพราะมีผลตอบแทนจากการลงทุน 3-4% และการลงทุนในทองคำก็ถือเป็นอีกทางเลือกจากแนวโน้มราคาที่มีทิศทางปรับขึ้นสูง" นายมาริษ กล่าว
ด้านนายอาชัญ จามพันธ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายปรึกษาการลงทุน ธนาคาร อีเอฟจี (สิงคโปร์) กล่าวว่า ในปีนี้สินทรัพย์ที่น่าลงทุนจะเป็นธุรกิจสินค้าเกษตร เนื่องจากแนวโน้มความต้องการของโลกมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี ประกอบกับภัยธรรมชาติทำให้อุปทานในตลาดโลกลดลง และนโยบายการลดการใช้น้ำมันและสิ่งที่เป็นมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะหันมาใช้ธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น ไบโอดีเซลแทน ดังนั้นจึงทำให้สินค้าเกษตรได้รับความสนใจในมาก รวมถึงสินทรัพย์ประเภททองคำ ที่เกิดจากการปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน ขณะที่สินทรัพย์ที่ควรหลีกเลี่ยงคือ หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องซับไพร์ม เช่น ธนาคารพาณิชย์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ