ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ BCP ที่ "A" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 14, 2018 15:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ที่ระดับ "A" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจการตลาดน้ำมัน ตลอดจนความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน และการกระจายความหลากหลายของธุรกิจไปสู่พลังงานสะอาด อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากแผนการลงทุนของบริษัทเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันและการขยายสู่ธุรกิจใหม่ ๆ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

BCP มีประวัติผลงานที่ยาวนานในธุรกิจน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทเป็นโรงกลั่นแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) ซึ่งมีกำลังการกลั่นขนาด 120,000 บาร์เรลต่อวัน โดยบริษัทสามารถกลั่นน้ำมันในกลุ่มน้ำมันชนิดเบา (ก๊าซปิโตรเลียมเหลวและน้ำมันเบนซิน) ได้ในสัดส่วนประมาณ 20% และในกลุ่มน้ำมันชนิดกลาง (น้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซล) ในสัดส่วนประมาณ 65% ซึ่งในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา การที่น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลมีส่วนต่างจากราคาน้ำมันดิบประมาณ 10-15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลทำให้บริษัทมีค่าการกลั่น (Gross Refinery Margin -- GRM) เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ หลังจากการเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่นของบริษัทเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2563 บริษัทเชื่อว่าค่าการกลั่นจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5-1.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

อันดับ 2 ในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัทจะยังคงได้รับประโยชน์จากการบูรณาการของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาด โดยการบูรณาการนี้ได้ช่วยเพิ่มอัตรากำไรโดยรวมให้แก่บริษัทเนื่องจากบริษัทได้รับค่าการตลาดเพิ่มเติมจากค่าการกลั่น

สถานะของธุรกิจการตลาดที่แข็งแกร่งช่วยให้บริษัทสามารถกลั่นน้ำมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีค่าการกลั่นสูงสุดโดยช่วยลดสัดส่วนการส่งออกน้ำมันซึ่งขายในราคาส่วนลด

ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ค้าปลีกน้ำมันรายใหญ่อันดับสองโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 15.8% ณ เดือนสิงหาคม 2561 จาก 15.4% ในปี 2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถคงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งได้ตลอดในช่วงปี 2561-2564 ซึ่งการคาดการณ์มีพื้นฐานมาจากการที่บริษัทมีเครือข่ายสถานีบริการขนาดใหญ่และมีธุรกิจเสริมอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มปริมาณลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในสถานีบริการของบริษัท โดยเห็นได้จากปริมาณจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปผ่านสถานีบริการของบริษัทที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7.4% ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 3,820 ล้านลิตรในปี 2560 จาก 2,679 ล้านลิตรในปี 2555 ในขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปผ่านสถานีบริการยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 6.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยอยู่ที่ 2,996 ล้านลิตร

ธุรกิจไฟฟ้าช่วยให้กำไรของบริษัทมีเสถียรภาพ ช่วยทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทมีเสถียรภาพ ณ เดือนกันยายน 2561 ธุรกิจไฟฟ้าซึ่งดำเนินงานโดยบริษัทย่อยของบริษัท (บมจ. บีซีพีจี) ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินงานแล้วด้วยขนาดกำลังการผลิตตามสัญญาทั้งสิ้นที่ 154 เมกะวัตต์ โดยกำลังการผลิตส่วนใหญ่หรือ 139 เมกะวัตต์เป็นโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและอีก 15 เมกะวัตต์เป็นโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ บีซีพีจี ยังลงทุน 40% ในโรงไฟฟ้าพลังลมในประเทศฟิลิปปินส์และ 33.3% ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียอีกด้วย ซึ่งการลงทุนในส่วนนี้ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นให้แก่ บีซีพีจี ได้อีกประมาณ 172 เมกะวัตต์

โครงการโรงไฟฟ้าเกือบทั้งหมดของบริษัทในประเทศไทยได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ในอัตรา 8 บาทต่อหน่วยเพิ่มเติมจากค่าไฟฟ้าฐาน ส่วนโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับบริษัทไฟฟ้าท้องถิ่นอายุสัญญา 20 ปีและได้รับอัตรารับซื้อไฟฟ้า (Feed in Tariff – FiT) ที่ 32-40 เยนต่อหน่วย

ทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจไฟฟ้าจะยังคงเป็นธุรกิจที่ช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทโดยรวมมีเสถียรภาพ โดยในช่วงปี 2558-2560 ธุรกิจไฟฟ้าสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้แก่บริษัทที่ประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาทต่อปี ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่ากำไรดังกล่าวจะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดจะมีผู้รับซื้อซึ่งเป็นหน่วยงานด้านไฟฟ้าที่มีชื่อเสียง

มีความเสี่ยงจากการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศ เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 บริษัทได้ประกาศการลงทุนใน OKEA AS (OKEA) ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) สัญชาตินอร์เวย์ โดยบริษัทจะร่วมกับ Seacrest Capital Group (Seacrest) ในการซื้อสัดส่วนในแปลงสัมปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศนอร์เวย์ ได้แก่ แปลง Draugen และ Gjoa จาก A/S Norske Shell (Shell) โดยการลงทุนนี้บริษัทจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ OKEA มูลค่าประมาณ 939 ล้านโครนนอร์เวย์ (หรือประมาณ 3,760 ล้านบาท) และเมื่อธุรกรรมแล้วเสร็จภายในปลายปี 2561 บริษัทจะถือหุ้น 49% ใน OKEA ในขณะที่ OKEA จะถือสัดส่วนสัมปทาน 44.6% ในแปลง Draugen และ 12% ในแปลง Gjoa ซึ่งทั้ง 2 แปลงนี้มีปริมาณสำรองปิโตรเลียมเพียงพอสำหรับการผลิตได้มากกว่า 10 ปีโดยคิดจากอัตราการผลิตทั้งหมดที่ประมาณ 122,000 บาร์เรลต่อวัน (หรือประมาณ 22,000 บาร์เรลต่อวันในสัดส่วนของ OKEA)

ทริสเรทติ้งมองว่าการลงทุนนี้จะทำให้เกิดข้อกังวลในด้านของการดำเนินงานรวมถึงความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวก็ได้รับการบรรเทาจากภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในประเทศนอร์เวย์อยู่ในระยะอิ่มตัวและมีความแน่นอนทางธุรกิจสูง รวมถึงประสบการณ์ของทีมงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของบริษัทและทีมดำเนินงานที่ถ่ายโอนมาจาก Shell ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในแปลงลงทุนเดิม

ระดับการก่อหนี้อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 143,244 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตรากำไรของบริษัท (อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) อยู่ที่ 7.6% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจำนวน 45,472 ล้านบาท อีกทั้งยังมีโครงสร้างเงินทุนที่ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ 46.7% ณ เดือนกันยายน 2561

สำหรับการประมาณการในช่วงปี 2562-2564 นั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเฉลี่ยที่ปีละประมาณ 20,000 ล้านบาทโดยอยู่บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบที่ 65 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2562 และ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในระหว่างปี 2562-2564 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังประมาณการว่าบริษัทจะมีกำลังกลั่นน้ำมันดิบในระดับ 110,000-115,000 บาร์เรลต่อวันและมีค่าการกลั่นพื้นฐานที่ประมาณ 6.5-7.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้นนั้นมาจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นหลักซึ่งคาดว่าธุรกิจนี้จะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนเงินลงทุนซึ่งรวมถึงงบลงทุนในโครงการตามแผนของบริษัทในช่วงปี 2561-2564 จะอยู่ที่ 68,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากประมาณการกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทดังกล่าวทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทอาจมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 50%-55% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งยังไม่ได้รวมแผนการนำธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยแต่อย่างใด

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจการตลาดของบริษัทเอาไว้ได้ ในขณะที่การลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจะสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องให้แก่บริษัทและจะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดลงได้บางส่วน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง ปัจจัยที่มีผลในเชิงบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ การที่บริษัทสามารถเพิ่มกระแสเงินสดได้อย่างมากและสม่ำเสมอจากการกระจายธุรกิจโดยที่ไม่ส่งผลกระทบทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นจากการที่โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากจากการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้เป็นหลัก หรือการที่บริษัทประสบผลขาดทุนอย่างมากจากการดำเนินงานหรือจากการลงทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ