GCAP ตั้งเป้ายอดปล่อยสินเชื่อปี 61 แตะ 1.5 พันลบ.คาด Q4/61 โตสูงสุดของปีหลังขยายตลาดผ่านพันธมิตรต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 14, 2018 15:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสเปญ จริงเข้าใจ กรรมการผู้จัดการ บมจ.จี แคปปิตอล (GCAP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดปล่อยสินเชื่อปี 61 จะอยู่ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาท โดยแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/61 จะเติบโตได้สูงที่สุดของปี จากเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของภาคเกษตร ซึ่งปีนี้ปัญหาภัยแล้งไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายตลาดสินเชื่อเช่าซื้อผ่านการเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร และภาคธุรกิจท่องเที่ยว ให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 20-30% ต่อปี จากแนวโน้มธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ดีภายใต้การขยายงานของบริษัทเอง ซึ่งยังไม่รวมกับผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนกับบริษัท 9F Internationnal Holding PTE .LTD (9F) จากประเทศจีน ซึ่งจะเข้ามาร่วมกันพัฒนาระบบการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลรูปแบบใหม่ คาดว่าจะมีการจัดแถลงข่าวรายละเอียดการร่วมทุนดังกล่าวภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้

นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนการดำเนินงานปี 62 และแผนการรุกปล่อยสินเชื่อในตลาดใหม่จำนวน 2 แห่ง โดยบริษัทจะนำเสนอคณะกรรมการบริษัทในช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้

สำหรับอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่อยู่ในระดับสูงนั้น ในช่วงสิ้นปี 61 คาดว่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 5 เท่า ตามนโยบายการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.3 เท่า โดยบริษัทมีนโยบายควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุนให้สิ้นปีนี้อยู่ที่ระดับไม่เกิน 4.7 เท่า แต่บริษัทเชื่อว่าในปี 62 จะลดลงเหลือ 3 เท่า หลังจากได้รับเงินเพิ่มทุนราว 200 ล้านบาท ซึ่งอาจมีการเรียกระดมทุนในปีหน้า จากขณะที่ต้องชะลอแผนการเรียกเงินเพิ่มทุนออกไปหลังจากมีการตกลงร่วมทุนกับพันธมิตรแล้ว

ด้านผลประกอบการของบริษัทฯในงวด 9 เดือนแรกปี 2561 (1 ม.ค.-30 ก.ย.) มียอดการปล่อยสินเชื่อใหม่รวม 843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ 648 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดสินเชื่อเช่าซื้อ เนื่องจากการเติบโตของยอดปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถแทรคเตอร์ของ นิว ฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ คือ บริษัท ซีเอ็นเอช อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด โดยสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อใหม่แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อ 73% และสินเชื่อส่วนบุคคลและนิติบุคคล 27%

บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 67% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมจำนวน 133 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41% เมื่อปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 26 ล้านบาท และต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 39 ล้านบาท

"ผลประกอบการที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจทั้งรายได้และกำไร แต่บริษัทฯ ยังมีความท้าทายในการบริหาร NPL การติดตามหนี้ ซึ่งก็ได้มีการปรับทีมเพื่อเข้าแก้ปัญหาแล้วตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ที่ผ่านมา รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการออกและเสนอขายหุ้นกู้ เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน และเพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อของบริษัท" นายสเปญ กล่าว

กลยุทธ์ที่ผ่านมาบริษัทได้พยายามกระจายประเภทของสินเชื่อให้ไม่กระจุกตัว เพื่อไม่ให้การรับรู้รายได้กระจุกตัว จากเดิมที่รายได้มักจะกระจุกในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงเก็บเกี่ยวของเกษตรกร โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสินเชื่อสบายใจอันดามัน เป็นสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรเรือและสินเชื่อในการซ่อมบำรุง สำหรับธุรกิจเรือท่องเที่ยว เข้ามาช่วยเสริมรายได้ในช่วงกลางปี รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/61 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี เนื่องจากเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของภาคการเกษตร และปีนี้ปัญหาภัยแล้งไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายตลาดสินเชื่อเช่าซื้อผ่านการเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร และภาคธุรกิจท่องเที่ยว ให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

"การบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดว่าจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 3.1% จากสิ้นปี 60 อยู่ที่ 3.5% จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และบริษัทจะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยพิจารณาเครดิตของลูกค้า นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 2/61 เรามีการตั้งทีมงานพิเศษเพื่อเข้ามาจัดการหนี้โดยตรงในแต่ละเซ็คเตอร์ของธุรกิจ มีทีมงานโฟกัสและรายงานผล ซึ่งบริษัทจะยึดตัวเลข NPL ณ สิ้น 31 ธ.ค.เป็นตัวตั้ง เนื่องจากช่วงทุกๆ ไตรมาส 4 เงินสำรองหนี้ที่ตั้งไปส่วนใหญ่จะถูกดึงกลับมาบันทึกเป็นกำไร จากการที่ลูกหนี้นำเงินมาชำระหนี้เป็นจำนวนมากในไตรมาสดังกล่าว ซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวของเกษตรกร"นายสเปญ กล่าว

ทั้งนี้ สัดส่วนการปล่อยสินเชื่อใหม่ของบริษัทฯ ยังคงรุกธุรกิจปล่อยสินเชื่อภาคการเกษตรในสัดส่วน 60-70% เนื่องจากปัจจุบันเครื่องจักรกลการเกษตรมีหลากหลายประเภทมากขึ้น ส่วนที่เหลือเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งบริษัทจะเน้นปล่อยสินเชื่อบุคคลมากขึ้น แต่จะพิจารณาปล่อยวงเงินไม่เกินคนละ 5 ล้านบาท โดยจะเน้นปล่อยสินเชื่อใน 4 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ สินเชื่อสบายใจตลาดคลองเตย สินเชื่อสบายใจตลาดปัฐวิกรณ์ สินเชื่อสบายใจอันดามัน และเตรียมเปิดสินเชื่อสบายใจตลาดไทภายในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ