นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 4/61 ของกลุ่มบริษัทฯ เชื่อว่ายังคงสดใสและขยายตัวอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจากจะมีคำสั่งซื้อใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯ ได้เดินเครื่องขยายกำลังการผลิตท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินอีกกว่า 3 เท่าจากปัจจุบันที่ผลิตได้เพียง 300,000 เมตรต่อปี เพื่อรองรับความต้องการท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
รวมทั้งได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "ท่อลม PID ในระบบปรับอากาศ" โดยได้ซื้อเทคโนโลยีเครื่องจักร และแบรนด์สินค้าจากจีน มูลค่าลงทุน 10 ล้านบาท เข้ามาทำการผลิต เพื่อรองรับงานอาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม เป็นต้น
ประกอบกับปัจจุบัน ARROW มีใบสั่งซื้อสินค้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการผลิตคิดเป็นจำนวนมากกว่า 400 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ ขณะที่มีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 900 ล้านบาท และเตรียมเสนองานอีกหลายโครงการ จึงทำให้เชื่อมั่นว่าถึงแม้ธุรกิจก่อสร้างอยู่ในสภาวะทรงตัว แต่รายได้รวมยังสามารถเติบโต ซึ่งคาดว่าใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ ที่สำคัญยังสามารถทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับธุรกิจในกลุ่มเดียวกัน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 44.09 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 48.31 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 109.06 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีในผลประกอบการปี 61
สาเหตุหลักที่ผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อยปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเป็น 408.11 ล้านบาท สาเหตุมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ดอกเบี้ยจ่าย ลดลงเหลือ1.57 ล้านบาท จากงวดไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 2.55 ล้านบาท
"ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 ที่ออกมานั้นถือว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งนับต่อจากนี้ ARROW จะเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนที่ได้วางไว้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ถึงเป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้ และเรามีความตั้งใจอย่างเต็มที่ ที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมายในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกๆปี "นายธานินทร์กล่าว
ทั้งนี้ ARROW แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/61 กำไรสุทธิ 44.09 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 48.31 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 109.06 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 148.51 ล้านบาท