หุ้น CMC ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 2.40 บาท ลดลง 0.60 บาท (-20%) จากราคาขาย IPO ที่ 3.00 บาท/หน่วย มูลค่าซื้อขาย 360.50 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 2.62 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 2.64 บาท และราคาลงต่ำสุด 2.34 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าเหมาะสมของบมจ.เจ้าพระยามหานคร (CMC) โดยวิธี PER คิดจากค่าเฉลี่ย PER 2562 ของ Property Sector (ไม่รวม LH, QH, CPN และ SF) ที่อยู่ที่ 10.5 เท่า และ EPS 2562 ที่ 0.41 บาท จึงได้มูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 4.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Forward PER อยู่ที่ 10.5 เท่า ในปี 2562 และ 5.5 เท่าในปี 2563 ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมในปี 2562 และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการเน้นทำโครงการคอนโดมิเนียมและรายได้หลักจากการขายอาคารชุดในปี 2563
ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิ 3 ปี Cagr (2561-2564) ของ CMC จะเติบโตอยู่ที่ 59% จากการเติบโตของรายได้จากการขายที่คาด 3 ปี Cagr (2561-2564) อยู่ที่ 40% จากโครงการที่คาดว่าจะสร้างเสร็จและโอนตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ซึ่งมีมากถึง 12 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งหมดกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท จากการที่บริษัทมี Backlog หรือโครงการที่สร้างเสร็จแล้วรอโอนมูลค่ากว่า 4.1 พันล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในช่วงปี 2561-2562 และโครงการที่คาดว่าจะสร้างเสร็จและโอนในช่วงปี 2561-2564 คาดว่า CMC จะรับรู้รายได้ในปี 2561 อยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของรายได้อยู่ที่ 37% YoY และยังมีการเติบโต 51% YoY ในปี 2562 อยู่ที่ 3.2 พันล้านบาท และ 65% YoY ในปี 2563 อยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท พร้อมคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 40% ในปี 2561 และ 39% ในปี 2562 conservative จากผู้บริหารคาดการณ์ที่ 42% และจาก 41.5% ในปี 2560
CMC ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัทแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า และกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์และผนัง โดยสัดส่วนรายได้ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายคอนโดมิเนียม Low-rise อยู่ที่ 80% รายได้จากการขายคอนโดมิเนียม High-rise อยู่ที่ 16% และรายได้จากการขายบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ อยู่ที่ 4% ณ ครึ่งแรกของปี 2561