ฟิทช์ คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นตั๋วแลกเงิน ESSO ที่ระดับ ‘F1(tha)’

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 27, 2018 16:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ของโปรแกรมการออกตั๋วแลกเงินมูลค่าไม่เกินหนึ่งหมื่นสองพันล้านบาท อายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งสามารถออกหมุนเวียนใหม่ได้ ของบมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ที่ระดับ ‘F1(tha)’

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

อัตราส่วนหนี้สินลดลง: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) ของ ESSO จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เนื่องจากระดับหนี้สินที่ลดลง ค่าการกลั่น (refining margins) ที่อยู่ในระดับสูงในช่วงปี 2559 และ 2560 ทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ ESSO แข็งแกร่ง และทำให้หนี้สินและอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อัตราส่วน FFO-adjusted net leverage ของบริษัทฯลดลงไปอยู่ที่ 1.1 เท่าในปี 2560 จาก 6.1 เท่าในปี 2558 ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนนี้จะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3.0 เท่าในปี 2561-2563 เนื่องจากบริษัทฯไม่มีแผนการลงทุนใหม่ที่มีขนาดใหญ่ และการจ่ายเงินปันผลในระดับปานกลาง

การสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากบริษัทแม่: ฟิทช์มองว่า ESSO ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากบริษัทแม่ (บริษัท เอ็กซอนโมบิลคอร์ปอเรชั่น (ExxonMobil) และกลุ่มบริษัทในเครือ) ซึ่งเห็นได้จากการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทแม่ โดยบริษัทแม่และกลุ่มบริษัทในเครือได้เพิ่มเงินกู้ยืมระหว่างกันให้กับบริษัทฯในช่วงที่บริษัทฯมีอัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับสูงในปี 2557 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอัตราส่วนเงินกู้ยืมระหว่างกันต่อเงินกู้ยืมทั้งหมดของบริษัทฯ ยังคงสูงอยู่ที่ระดับ 60%-70% (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ 67%) แม้ว่าหนี้สินทั้งหมดและอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ จะลดลงมามากแล้วก็ตาม ซึ่งช่วยให้ ESSO มีภาระหนี้สินกับบุคคลภายนอกที่ลดลง

ESSO ยังสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายในการจัดซื้อน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ใช้เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ รวมทั้งทรัพยากรบุคคล การวิจัยและพัฒนาต่างๆ จากกลุ่มบริษัท ExxonMobil เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทฯ โรงกลั่นของ ESSO เป็นโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของ ExxonMobil ในภูมิภาคเอเชีย

ไม่มีแผนการลงทุนใหม่ที่มีขนาดใหญ่: ฟิทช์เชื่อว่า ESSO จะยังคงมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่าย เพิ่มความหลากหลายของน้ำมันดิบที่นำมากลั่นเพื่อเพิ่มอัตราส่วนกำไร กระจายผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมใหม่ๆ พร้อมกันกับการขยายเครือข่ายการค้าปลีกน้ำมัน โดยโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่มีการลงทุนที่ไม่สูงนัก ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของ ESSO จะอยู่ระหว่าง 1.0 พันล้าน - 1.6 พันล้านบาทต่อปีในช่วงสามปีข้างหน้า (2560: 1.2 พันล้านบาท)

โรงกลั่นแบบคอมเพล็กซ์ที่มีสายการผลิตที่เชื่อมโยงกับการผลิตพาราไซลีน: อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการผลิตที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่สูงของโรงกลั่น ชื่อทางการค้าที่เป็นที่รู้จักมายาวนาน รวมถึงข้อได้เปรียบในการเข้าถึงวัตถุดิบผ่านทางกลุ่มบริษัท ExxonMobil ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนน้ำมันดิบและวัตถุการผลิตตามสภาวะตลาด การเชื่อมโยงกับการผลิตสารพาราไซลีน (PX) ยังช่วยเพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ และประสิทธิภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์โดยรวม อีกทั้งยังช่วยลดความผันผวนจากอัตราส่วนกำไรจากการกลั่นของบริษัทฯได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่ากำลังการผลิต PX ในภูมิภาคที่สูงในปัจจุบันจะทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอยู่ในระดับต่ำก็ตาม นอกจากนี้ ESSO ยังเป็นผู้ค้าปลีกน้ำมันที่แข็งแกร่ง และมีชื่อทางการค้าที่เป็นที่รู้จักมายาวนานในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในประเทศไทย โดยมีสถานีบริการจำนวน 595 สถานี ณ สิ้นเดือน ตุลาคม 2561

ธุรกิจมีความผันผวนสูง: สถานะเครดิตของ ESSO ยังพิจารณารวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของวัฏจักรของธุรกิจ และความเสี่ยงจากการมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว ความผันผวนของรายได้ค่าการกลั่น ราคาน้ำมัน และความต้องการเงินทุนหมุนเวียน อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไร และกระแสเงินสดของบริษัทฯ

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

อันดับเครดิตของ ESSO สะท้อนถึงลักษณะธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งโรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจผลิตปิโตรเคมีและธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ซึ่งสถานะทางธุรกิจของ Esso อยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตอยู่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ((อันดับเครดิตที่ A-(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ BBB+(tha)) มีโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากธุรกิจปิโตรเคมีมากกว่าซึ่งทำให้อัตราส่วนกำไรต่อรายได้สูงกว่า ESSO อย่างไรก็ตาม ESSO มีอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งกว่า IRPC ไออาร์พีซี อีกทั้งฟิทช์มองว่า ESSO มีความเชื่อมโยงกับบริษัทแม่ซึ่งได้แก่ ExxonMobil ที่สูงกว่า

ESSO มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ((อันดับเครดิตที่ AA(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ AA-(tha)) และ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) ((อันดับเครดิตที่ AA-(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ A+(tha)) และ ESSO ยังมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่าทั้งสองบริษัทฯ อีกด้วย

สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:

  • ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2561, 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2562, และ 57.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลหลังจากนั้น โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ Esso;
  • ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูงในปี 2561 และลดลงในปี 2562 เป็นต้นไป
  • การปิดซ่อมบำรุงรักษาโรงกลั่นในปี 2562
  • ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบพาราไซลีนคงที่ในปี 2562 และลดลงหลังจากนั้น
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลรักษาซ่อมบำรุงและลงทุนในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพขนาดเล็กในช่วง 2561-2565
  • อัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 50% ของกำไรสุทธิ

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก:

  • ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท ExxonMobil ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจัยลบ:

  • สัดส่วนการถือหุ้นและการสนับสนุนที่น้อยลงจากกลุ่มบริษัท ExxonMobil
  • การลดลงของการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารและตลาดตราสารหนี้ซึ่งอาจมีผลต่อสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทฯ
  • อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) อยู่ในระดับที่สูงกว่า 6.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง

สภาพคล่อง

สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: ESSO มีหนี้สินทั้งสิ้นจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 โดยมีหนี้สินประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้สินระยะสั้นที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ สินค้าคงคลังของ ESSO เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 จาก 1.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 สภาพคล่องของบริษัทฯได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 800 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ยังไม่ได้เบิกใช้มูลค่า 6.0 หมื่นล้านบาท จากกลุ่ม ExxonMobil นอกจากนี้ ESSO ยังมีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารที่ดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ