FETCO มอง SET ก่อนสิ้นปีมีโอกาสเป็นขาขึ้นหลังผ่านจุดต่ำสุด แต่ปี 62 ยังผันผวน-ลุ้นได้รัฐบาลมีเสถียรภาพหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 3, 2018 12:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วในปี 61 และมีโอกาสปรับตัวเป็นขาขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ตลาดได้สะท้อนปัจจัยลบนอกประเทศไปหมดแล้ว โดยเฉพาะ เช่น สงครามการค้า และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากนี้จึงน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

ส่วนปัจจัยในประเทศคาดว่าการเลือกตั้งในปี 62 ซึ่งอาจส่งผลดีให้ตลาดหุ้นได้หากรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ได้เสียงข้างมากและมีเสถียรภาพในการควบคุมเสียงในสภาได้ ดังนั้น คงจะต้องติดตามความชัดเจนของการเมืองต่อไปว่าผลการเลือกตั้งว่าจะออกมาในรูปแบบใด

สำหรับการส่งออกก็ยังต้องติดตามผลกระทบจากสงครามการค้าว่าจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งมีโอกาสเป็นได้ทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศยังมีการเติบโตด้วย 2 ส่วนหลัก คือ การส่งออกและการท่องเที่ยว

"เศรษฐกิจประเทศไทยขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกพอสมควร ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจมีการพึ่งพาการส่งออกถึง 70% และการท่องเที่ยว 10% โดยมองว่าในปี 62 ยังต้องติดตามการเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว หลังปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงค่อนข้างมาก"นายไพบูลย์ กล่าว

ด้านนายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต เปิดเผยว่า ภาพการลงทุนระยะสั้นของตลาดหุ้นไทยถูกกำหนดทิศทางจากปัจจัยภายนอกอย่างการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ และการส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ

ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 62 จะยังมีความผันผวนสูง อยู่ในกรอบ 1,520-1,850 จุด จากสภาพคล่องส่วนเกินในตลาดการเงินโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัวพร้อมกันทั้งภูมิภาค และยังมีปัจจัยการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมถึงประเทศไทยด้วย

อย่างไรก็ดี ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยอยู่จะอยู่ในรูปแบบของ "trading market" ซึ่งบริษัทมองว่า Valuation ในปัจจุบันน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า ที่ P/E 14-15 เท่า มีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูง ขณะที่ Earning Yeild Gap (EPG) ที่ถูกปรับความน่าลงทุนเทียบกับอัตราดอกเบี้ยแล้ว จะเห็นว่าการลงทุน 12 เดือนที่ EPG 4.4-4.6% มีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงเช่นกัน

นายพิชัย กล่าวต่อว่า สำหรับปี 62 แนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย อาทิ กองทุน, กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และตราสารหนี้ โดยคาดว่าปัจจุบันเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาใกล้เคียงจุดสูงสุดในระยะปานกลางแล้ว โดยมองว่ามีโอกาสเข้าลงทุนได้ช่วงกลางปี 62 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่อิงเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก เป็นหุ้นเติบโตและมีปันผลสูง ซึ่งคาดว่าจะสามารถทนแรงเสียดทานจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ ซึ่งหุ้นกลุ่มที่มองว่ามีการปรับตัวของราคาลงมาค่อนข้างมากแล้ว คือ กลุ่มเครื่องสำอางค์ และกลุ่มไมโครไฟแนนซ์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ