GBS มอง SET สัปดาห์นี้แกว่ง 1,640-1,690 จุด ขานรับสหรัฐ-จีนยุติข้อพิพาทการค้าชั่วคราว , หวังรัฐออกแผนช็อปช่วยชาติหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 4, 2018 11:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.โกลเบล็ก (GBS) มองหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งผันผวนในกรอบ 1,640-1,690 จุด หลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ โดยผู้นำสหรัฐ-จีนยุติข้อพิพาทการค้าชั่วคราว รวมถึงการคาดการณ์ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะทยอยอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี และการปลดล็อกพรรคการเมืองจัดกิจกรรมทางการเมืองได้ในเดือนธ.ค. เพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งต่อไป

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้ได้รับปัจจัยบวกจากปัจจัยต่างประเทศ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนคลีคลายลง จากการที่สหรัฐเลื่อนกำหนดเวลาเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจาก 1 ม.ค.62 ออกไป 90 วัน หากสิ้นสุดเวลาดังกล่าวยังหาข้อตกลงไม่ได้ก็จะขึ้นภาษีจาก 10% เป็น 25%

ส่วนปัจจัยในประเทศ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 11 เดือนแรกของปี 61 ขยายตัว 1.13% ขณะที่กระทรวงพาณิชย์คาดเงินเฟ้อปี 2561 ที่ 1.12% ซึ่งยังอยู่ในกรอบคาดการณ์เงินเฟ้อของกระทรวงพาณิชย์ที่ 0.8-1.6% แสดงถึงภาวะเงินเฟ้อที่ไม่ได้เร่งตัวขึ้นมาก จึงไม่มีแรงกดดันในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมกนง.ครั้งสุดท้ายของปี รวมถึงการคาดการณ์ว่าที่ประชุมครม.จะทยอยอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี และการปลดล็อกพรรคการเมืองให้จัดกิจกรรมทางการเมืองได้ในเดือนธันวาคม

ทั้งนี้ ปัจจัยด้านลบที่ยังคงกดดันการลงทุนอยู่ในช่วงนี้มาจาก คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนหน้าตามที่ได้ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้ และ Fund Flow ไหลออก นักลงทุนต่างชาติทยอยปิดสถานะก่อนวันหยุดยาวในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ต่างชาติมีสถานะขายตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน 2.87 แสนล้านบาท

สำหรับปัจจัยที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้ ได้แก่ วันที่ 5 ธ.ค. จีน เปิดเผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ย. สหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ย. และยอดค้าปลีกเดือนต.ค. สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.ผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยไตรมาส 3/61 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการ ดัชนีภาคบริการ สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และธนาคารกลางสหรัฐ เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) (เช้าวันที่ 6 ธ.ค.) วันที่ 6 ธ.ค. ประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) กำหนดนโยบายในปี 2562 และในวันที่ 7 ธ.ค. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นัดหารือพรรคการเมืองรับฟังข้อเสนอจากพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ผันผวนในกรอบ 1,640–1,690 จุด โดยแนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากงานมอเตอร์เอ็กซ์โป เช่น KKP, TISCO, TCAP และหุ้นที่ได้อานิสงส์จากกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงตรุษจีน 1-15 ก.พ.62 วงเงินคนละ 2 หมื่นบาท คืน VAT 5% เข้าบัญชีพร้อมเพย์ ได้แก่ CPALL, MAKRO, BJC

ด้านแนวทางการลงทุนในทองคำ เห็นว่าผลการเจรจาลดความขัดแย้งของสงครามการค้าระหว่างผู้นำจีนกับสหรัฐในการประชุม G20 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ผลเพียงระงับการขยายข้อพิพาทชั่วคราวเท่านั้น โดยสหรัฐจะไม่เพิ่มกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน แต่ยังคงเก็บในอัตรา 10% เท่ากับก่อนหน้า ส่วนจีนจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้นเพื่อลดการเกินดุลการค้า แต่ไม่มีการระบุถึงขอบเขต จำนวน หรือ มูลค่าใด ๆ ทำให้มีแนวโน้มที่ภาวะสงครามการค้าโลกจะดำเนินต่อไป โดยอาจมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นการยุติศึกการค้าและหันหน้าเข้าเจรจากันมากขึ้นก็เป็นผลบวกต่อมุมมองของนักลงทุน ทำให้เงินไหลกลับเข้ามาเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง ราคาน้ำมันก็ได้อานิสงส์ตามไปด้วย แต่เนื่องจากภาวะความตึงเครียดทางการเมืองในฝรั่งเศสที่เกิดการจราจลกลางเมืองแบบยืดเยื้อ ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของอิตาลี และการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจจากกรณี Brexit ต่างกดดันให้เงินยูโรไม่แข็งค่ามากนัก

ทั้งนี้ แม้ค่าเงินดอลลาร์ได้อ่อนลงจากการที่ตลาดกำลังกลับเข้าสู่ภาวะ risk on ก็ตาม แต่ราคาทองคำยังคงได้รับประโยชน์จากการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยจากสถานการณ์ดังกล่าวอยู่ดี คงคำแนะนำให้ trading ในกรอบราคาระหว่าง 1,200–1,250 ดอลลาร์/ออนซ์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ