(เพิ่มเติม) "เลเท็กซ์ ซิสเทมส์"ยื่นไฟลิ่งขายหุ้น IPO 132.43 หุ้น ใช้คืนเงินกู้-สร้างโชว์รูม-ขยายธุรกิจ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 6, 2018 11:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ (LS) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.61 เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 132,432,288 หุ้น คิดเป็น 29.43% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

การจัดสรรหุ้น IPO แบ่งเป็นการ การเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นของ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) (TRUBB) ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใน TRUBB (Pre-emptive Right) จำนวนไม่ต่ำกว่า 10% หรือไม่น้อยกว่า 13,243,229 หุ้น แต่ไม่เกิน 20% หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้นของจำนวนหุ้น IPO ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ และเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปไม่ต่ำกว่า 80% หรือไม่น้อยกว่า 105,945,831 หุ้น แต่ไม่เกิน 90% หรือไม่เกิน 119,189,059 หุ้นของจำนวนหุ้น IPO

วัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินจากการลงทุนซื้อโรงงานในจังหวัดระยอง, เพื่อลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม, เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ระยะเวลาที่ใช้เงินโดยประมาณในปี 62-64

LS ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายที่นอนที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ ปัจจุบันมีโรงงานผลิตสินค้า 3 แห่ง ประกอบด้วย โรงงานที่ 1 ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โรงงานที่ 2 ตั้งอยู่ใน จ.ฉะเชิงเทรา ส่วนโรงงานที่ 3 ตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง อยู่ระหว่างการทดสอบการผลิตสินค้า มูลค่าการลงทุนราว 243.00 ล้านบาท จะเริ่มการผลิตสายการผลิตที่ 1 ในไตรมาส 1/62 และสายการผลิตที่ 2 ในไตรมาส 1/63

ในปี 61 โรงงานแห่งที่ 1 และ โรงงานแห่งที่ 2 มีกำลังการผลิตที่นอน รวมประมาณ 68,640 ชิ้นต่อปี และ มีกำลังการผลิตหมอน รวม 1,980,000 ชิ้นต่อปี และคาดว่าหากรวมกำลังการผลิตของโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหมอน จะมีกำลังการผลิตหมอนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,136,000 ชิ้นต่อปี

นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนลงทุนก่อสร้างอาคารโชว์รูม Flagship เริ่มจากกรุงเทพมหานคร พัทยา และภูเก็ต บริษัทคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างอาคารโชว์รูมได้ราวไตรมาส 3/62 คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในไตรมาส 3/64 เริ่มใช้งานเชิงพาณิชย์ได้ในราวไตรมาส 4/64 โครงการนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 50 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงปี 58-60 บริษัทมีรายได้จากการขาย จำนวน 399.07 ล้านบาทในปี 58, จำนวน 428.56 ล้านบาทในปี 59 และจำนวน 752.97 ล้านบาทในปี 60 ส่วนรายได้รวมจำนวน 399.52 ล้านบาทในปี 58, จำนวน 429.40 ล้านบาทในปี 59 และจำนวน 753.47 ล้านบาทในปี 60 ด้านกำไรสุทธิ 68.18 ล้านบาทในปี 58, จำนวน 62.50 ล้านบาทในปี 59 และจำนวน 114.07 ล้านบาทในปี 60

ณ วันที่ 30 ก.ย.61 มีสินทรัพย์รวม 1,086.03 ล้านบาท หนี้สินรวม 617.61 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 468.42 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนแรกของปี 61 บริษัทมีรายได้จากการขาย 658.94 ล้านบาท รวมได้รวม 664.30 ล้านบาท ต้นทุนขาย 429.43 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 121.40 ล้านบาท

ณ วันที่ 19 เมษายน 2561 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 79,391,928.00 บาท และทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 79,391,928.00 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 8,592,200 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 9.24 บาท โดยเมื่อวันที่ 20 ก.ค.61 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทมีมติอนุมัติแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai โดยเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิมหุ้นละ 9.24 บาท เป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ TRUBB ถือหุ้น 178,368,960 หุ้น คิดเป็น 56.17% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 39.64% รองลงมาคือ กลุ่มครอบครัววงศาสุทธิกุล ถือหุ้น 60,884,208 หุ้น คิดเป็น 19.17% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 13.53%

ทั้งนี้ โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมของครอบครัววงศาสุทธิกุล ให้แก่ TRUBB จำนวน 16.00 ล้านหุ้น เพื่อแก้ไขโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และให้เป็นไปตามเกณฑ์ของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 39/2559 โดยทาง TRUBB จะถือหุ้นทางตรงจำนวน 194,368,960 หุ้น คิดเป็น 43.20% และกลุ่มครอบครัววงศาสุทธิกุล จะถือหุ้นทางตรงจำนวน 44,884,208 หุ้น คิดเป็น 9.97% และถือหุ้นทางอ้อมผ่าน TRUBB จำนวน 42,915,271 หุ้น คิดเป็น 9.54% รวมถือหุ้น 87,799,479 หุ้น คิดเป็น 19.51%

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ