โบรกฯทำนายหุ้นไทยปี 62 ไปต่อแม้ช่วงต้นปีอาจยังไม่สดใส แต่เชื่อปัจจัยบวกในปท.หนุน พร้อมแนะเลือกหุ้นปลอดภัยลงทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 20, 2018 18:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนา "โค้งสุดท้ายหุ้นไทย ฟุบหรือไปต่อ?" ในหัวข้อ เบญจภาคี 5 หุ้นเด็ด โค้งสุดท้ายรับไม้ต่อปี 2562 ว่า มองดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงสิ้นปี 62 จะอยู่ที่ระดับ 1,850 จุด เนื่องจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ การดำเนินนโยบายการเงิน หรือการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอตัวลง หรืออาจไม่เห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยซึ่งอาจจะกลับมาดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แทน จากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันยังมีโอกาสที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะถูกถอดถอน และเลือกผู้นำคนใหม่เข้ามา ซึ่งน่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไม่ให้แย่เกินไป

อีกทั้งในประเทศเองมองว่าไทยน่าจะได้รับประโยชน์จากสงครามการค้า จากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการในประเทศจีน เข้ามาในประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งรวมถึงไทยด้วย ทำให้คาดว่าตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะปรับตัวขึ้นมากกว่าปรับตัวลง แต่อย่างไรก็ตามในช่วงต้นปี 62 เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ภาวะตลาดหมี หลังยังมีปัจจัยกดดันจากภายนอกประเทศอยู่ โดยแนะนำนักลงทุนให้เตรียมเงินสดเอาไว้ลงทุนในช่วงที่หุ้นปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้น WHA เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากดีลใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น, PTTEP จากชนะประมูลแหล่งก๊าซอ่าวไทย 2 โครงการ คือ บงกชและเอราวัณ, กลุ่มมีเดีย เช่น BEC,VGI และ PLANB จากได้รับอานิสงส์บวกจากการจัดกิจกรรมภายในประเทศ ทั้งการหาเสียงเลือกตั้ง และการท่องเที่ยว เป็นต้น และหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เช่น AOT จากมาตรการฟรี VISA ของภาครัฐเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทย และการประมูลดิวตี้ฟรี สนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงหุ้นกลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ เช่น BBL, KTB

ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บล.กสิกรไทย กล่าวว่า มองดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 62 ที่ระดับ 1,760 จุด โดยให้แบ่งการลงทุนเป็น 2 แบบ คือ แบบระยะยาว 3 เดือน และแบบระยะสั้นมาก ๆ โดยแบบแรกให้หาหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกน้อยมาก และมีโอกาสโดนปรับลดประมาณการกำไรน้อย ส่วนการลงทุนระยะสั้นมาก ๆ ในภาวะตลาดหุ้นผันผวนแบบนี้ แนะนำให้หาหุ้นปลอดภัย โดยดูจากภาพรวมอุตสาหกรรมในระยะสั้น ๆ และดูปริมาณการซื้อขายประกอบด้วย

แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค เช่น โรงไฟฟ้า, กลุ่มโรงพยาบาล โดยมองที่การเติบโตของกำไร รวมถึงกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน JASIF เพื่อเก็งกำไรในช่วงการจ่ายปันผล ส่วนการลงทุนช่วงสั้นที่พร้อมถอนการลงทุนได้ตลอดเวลา แนะนำหุ่นกลุ่มน้ำมัน เช่น PTG เนื่องจากเริ่มเห็นการฟื้นตัวของการบริโภค และการท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้น ประกอบราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ก็ส่งผลดีต่อค่าการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้น และหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว อย่าง AAV จากมีค่าซ่อมบำรุงต่ำ รับอานิสงส์ราคาน้ำมันปรับตัวลง เนื่องจากไม่ได้ทำประกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมันไว้ ส่งผลให้ส่วนต่างกำไรปรับตัวดีขึ้น รวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อย่าง BBL ที่ราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างมากแล้ว และยังได้รับปัจจัยบวกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย

ขณะที่นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า มองดัชนีหุ้นไทยปี 62 ไว้ที่ 1,850 จุด บนสมมุติฐานกำไรบริษัทจดทะเบียนที่คาดจะเติบโต 7% โดยมองระดับ P/E ที่ 16 เท่า และคาดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ 4% โดยมองตลาดหุ้นน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ และไม่ได้แย่อย่างที่เห็น ซึ่งหากนักลงทุนเน้นการลงทุนระยะยาว ให้ถือต่อไป โดยพิจารณาจากพื้นฐานของบริษัทว่ามีพื้นฐานที่ดีหรือไม่ ถ้าเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี ก็ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ

อย่างไรก็ตามแนะนำการลงทุนในหุ้น SISB เนื่องจากมีเงินสดที่มั่นคง และมีรายได้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ, AOT จากการท่องเที่ยวหนุน , ADVANC จากรับปัจจัยลบไปค่อนข้างมากแล้ว, CK จากการเข้าประมูลงานภาครัฐ และ BCH

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า มองดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 62 ที่ระดับ 1,743 จุด บนสมมติฐานกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 7% หรือ 116 บาท/หุ้น โดยประเมิน P/E ที่ 15 เท่า ขณะที่มองภาพรวมตลาดในช่วงต้นปีน่าจะเคลื่อนไหวเหมือนกันกับช่วงสิ้นปีนี้ จากปัจจัยภายนอกประเทศที่ยังคงกดดันต่อเนื่อง โดยเฉพาะสงครามการค้า ทำให้การลงทุนยากขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ แม้จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่มาร์จิ้นยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งต้นทุนน่าจะขยับขึ้นแต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก, กลุ่มการบริโภค จากมาตรการภาครัฐที่เข้ามาสนับสนุน ซึ่งกลุ่มดังกล่าวคิดเป็น 53% ของ GDP โดยรวม ซึ่งหากมีการกระตุ้นก็จะมีการเติบโตขึ้น และกลุ่มโรงไฟฟ้า จากประมาณกำไรได้ค่อนข้างง่าย

ทั้งนี้ หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนในปีหน้า ได้แก่ AOT จากเริ่มเห็นการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว และการประมูลสัมปทานพื้นที่เชิงพาณิชย์ครั้งใหม่ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 72 บาท, CPALL ให้ราคาเป้าหมายที่ 81 บาท ตามอานิสงส์บวกจากนโยบายภาครัฐ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ประชาชนในการซื้อสินค้าผ่านบัตรเดบิต ที่ช่วยหนุนให้โดดเด่น, EGCO ให้ราคาเป้าหมายที่ 259 บาท, VGI ให้ราคาเป้าหมายที่ 10.20 บาท โดยมีแนวโน้มเติบโตดีในปีหน้า จากการจับจ่ายใช้สอย การมีเคอรี่ เอ็กซ์เพรส เข้ามาร่วมในแผนการทำสื่อ ซึ่งทำให้ VGI จะพัฒนาสื่อแบบ sampling ได้ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ถึง 1,500 ล้านบาท และ JMT ให้ราคาเป้าหมายที่ 15.30 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ