ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 270 จุดเมื่อคืนนี้ (15 ม.ค.) หลังจากซิตี้กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขขาดทุนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากยอดค้าปลีกที่ทรุดตัวลงหนักสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งตอกย้ำความวิตกกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 277.04 จุด หรือ 2.17% แตะระดับ 12,501.11 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 35.30 จุด หรือ 2.49% แตะระดับ 1,380.95 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดรูดลง 60.71 จุด หรือ 2.45% แตะระดับ 2,417.59 จุด ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.8 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.38 พันล้านหุ้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักหลังจากซิตี้กรุ๊ปประกาศลดการจ่ายเงินปันผล เนื่องจากธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้สูญเป็นวงเงินมูลค่า 1.81 หมื่นล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดทุนในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) และหนี้สินที่มีความเสี่ยงประเภทอื่นๆ ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นซิตี้กรุ๊ปดิ่งลง 7% และเพิ่มความวิตกว่าวิกฤตการณ์สินเชื่อทั่วโลกยังไม่สิ้นสุดลง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.ของสหรัฐร่วงลงเกินคาดในเดือนธ.ค.และแตะที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2545 เนื่องจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นและราคาบ้านที่ลดลง ทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลวันหยุด ทั้งนี้ นักลงทุนให้น้ำหนักกับข้อมูลค้าปลีกของสหรัฐไม่น้อยกว่าตัวเลขขาดทุนของซิตี้กรุ๊ป เพราะตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ นายไบรอัน เจนดรู นักวิเคราะห์จากไอเอ็นจี อินเวสท์เมนท์ เมเนจเมนท์กล่าวว่า "นอกเหนือจากข่าวซิตี้กรุ๊ปและยอดค้าปลีกแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังไม่ได้ใช้มาตรการที่แข็งแกร่งพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาในตลาดซับไพรม์ สถานการณ์เหล่านี้ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้านี้" หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปรับตัวลงกว่า 2% เนื่องจากความกังวลที่ว่าภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐอาจทำให้ความต้องการพลังงานลดน้อยลงด้วย โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปิดดิ่งลง 2% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P ร่วงลง ส่วนหุ้นหุ้นโบอิ้งร่วงลง 4.7% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล คาดการณ์ว่า โบอิ้งบริษัทอาจเลื่อนโครงการเครื่องบินรุ่น 787 ออกไปอีกครั้ง ขณะที่หุ้นแอปเปิลร่วงลง 5.4% เนื่องจากนักลงทุนไม่ให้ความสนใจกับข้อเสนอใหม่ๆของแอปเปิลที่เปิดเผยในงานประจำปีแมคเวิลด์ที่เมืองซานฟรานซิสโก และหุ้นอินเทลดิ่งลง 13.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำเกินคาด หุ้นเมอร์ริล ลินช์ร่วงลง 5.3% หลังจากบริษัทประกาศแผนเพิ่มทุนเมื่อวันก่อน และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปิดลดลง 3.4% นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดอาจจะอนุมัติให้ แบงค์ ออฟ อเมริกา เข้าเทคโอเวอร์บริษัท คันทรีไวด์ ไฟแนนเชียล มิฉะนั้นคันทรีไวด์อาจต้องเผชิญกับภาวะล้มละลาย ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้านเกิดความผันผวนมากกว่าเดิม ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล และ นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่า แบงค์ ออฟ อเมริกา กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเทคโอเวอร์คันทรีไวด์ ซึ่งถ้าการเทคโอเวอร์ดังกล่าวเกิดขึ้น จะส่งผลให้สถาบันปล่อยกู้เพื่อการซื้อบ้านรายใหญ่ที่สุดในประเทศอยู่ภายใต้การบริหารของธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ