โบรกฯ มองเป้า SET ปีหมู 1,743-1,950 จุด แม้ ศก.โลกชะลอยังถ่วง,เชียร์หุ้นรับเหมา-ค้าปลีก-ไฟฟ้า แนะเลี่ยงหุ้นน้ำมัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 2, 2019 13:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์มองเป้าหมายดัชนี SET ปี 62 ไว้ในกรอบ 1,743-1,950 จุด คิดเป็น P/E ช่วง 15-16.47 เท่า และคาดอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) จะอยู่ในช่วง 6-10%

พร้อมเห็นพ้องปีนี้ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่มีต่อจีนมากสุด และยังต้องเผชิญกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น แม้ว่าอาจจะไม่ได้ปรับขึ้นเร็วนัก โดยบ้านเราคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง นอกจากนี้ ต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมันดิบหากยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องอาจกดดันกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน

ส่วนปัจจัยฝั่งยุโรป หลังสิ้นสุดการทำ QE ไปแล้วในปี 61 ทำให้สภาพคล่องบางส่วนหายไป และยังมีเรื่องปัญหาหนี้สินในระดับสูงมากทั้งกรีซ และอิตาลี ส่วนอังกฤษยังมีประเด็นการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

ขณะที่เศรษฐกิจของไทยคงจะเดินหน้าต่อไปได้ และยังมีเรื่องการเลือกตั้งเข้ามาสนับสนุน ซึ่งคาดหวังจะมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนหลังจากที่ได้มีการปลดล็อคการเมืองตั้งแล้ว โดยตลาดหุ้นไทยได้ถอยลงมามากแล้ว ทำให้ตอนนี้ Downside risk มีไม่มากนัก

พร้อมแนะนำหุ้นที่น่าลงทุนในปีนี้เป็นหุ้นกลุ่มค้าปลีก, โรงไฟฟ้า, โรงพยาบาล, รับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง, กลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน

ดัชนี SET ปิดสิ้นปี 61 อยู่ที่ระดับ 1,563.88 จุด ลดลง 10.82% จากสิ้นปี 60

          โบรกเกอร์                    เป้าดัชนี          P/E          Earning Growth
                                       (จุด)          (เท่า)              (%)
          กสิกรไทย                      1,766          15.5               6
          ธนชาต                        1,950          16.0               10
          บัวหลวง                       1,817          15.8               7.2
          ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)     1,850          15.5               9
          เคทีบี (ประเทศไทย)             1,797          16.47              6.3
          ฟินันเซีย ไซรัส                  1,800          15.0               7.5
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)     1,743          15.0               6.9

*FSS มองปี 62 เผชิญเศรษฐกิจโลกชะลอ, เชียร์ลงทุนบริโภคในปท.

น.ส.จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) กล่าวว่า ปี 62 มองเป้าหมายดัชนี SET ไว้ที่ 1,800 จุด คาดว่าการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) จะโต 7.5% ซึ่งชะลอลงจากปี 61 ที่คาดว่าจะเติบโต 8.5% ทำให้คิด P/E 15 เท่า น้อยกว่าปี 61 ที่ P/E 16 เท่า

ทั้งนี้ในปี 62 จะต้องเผชิญกับปัจจัยถ่วงสำคัญคือเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเศรษฐกิจของสหรัฐคาดว่าจะชะลอตัวอย่างชัดเจน และทุกประเทศก็จะเจอกับผลกระทบสงครามการค้า ขณะที่ยุโรปยังมีหนี้ในระดับสูงทั้งกรีซและอิตาลี ส่วนอังกฤษก็จะมีเรื่อง Brexit ซึ่งจะมีผลต่อภาคการเงิน-ธนาคารของโลกด้วย

สำหรับเอเชียก็โดนผลกระทบเรื่องสงครามการค้า ซึ่งจีนจะได้รับผลกระทบมากสุด และยังต้องเผชิญกับทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น แม้ว่าจะไม่ขึ้นเร็ว เพราะราคาน้ำมันคาดว่าจะต่ำกว่าปี 61 และเงินเฟ้อยังไม่น่าห่วง ทำให้สภาพคล่องของโลกไม่น่าจะหายไปมาก ซึ่งบ้านเราก็คาดว่า กนง.น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 62 ประมาณ 1-2 ครั้ง

ส่วนบ้านเราเศรษฐกิจคงจะเดินหน้าต่อไปได้ และปี 62 ยังจะมีเรื่องการเลือกตั้ง ซึ่งในอดีตก่อนการเลือกตั้งหุ้นมักจะวิ่งขึ้นไปและหลังการเลือกตั้งหุ้นจะปรับขึ้นไปได้บ้าง จากนั้นก็จะปรับตัวลงส่วนหนึ่งอาจเป็น Sell on Fact แต่ปีนี้ก่อนการเลือกตั้งหุ้นไม่ได้ปรับขึ้นไปมาก แต่กลับปรับตัวลงด้วยซ้ำ ดังนั้น หลังการเลือกตั้งหุ้นอาจจะปรับขึ้นไปก็ได้ ส่วนหนึ่งอาจได้แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่จะกลับมาลงทุนหลังจากที่ได้มีการปลดล็อคแล้ว

น.ส.จิตรา กล่าวอีกว่า ปี 62 เศรษฐกิจไทยคงจะโตชะลอลงบ้าง แต่มองว่าไทยยังมีเรื่องการลงทุนที่จะทำให้การบริโภคดีขึ้น โดยการจับจ่ายใช้สอยน่าจะดีกว่าปี 61 จึงแนะนำลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค อย่างหุ้นกลุ่มค้าปลีก, โรงพยาบาล, รับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่วนที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) โดยเฉพาะพลังงาน เพราะราคาน้ำมันปรับตัวลง แต่หากต้องการลงทุนก็ให้เลี่ยงหุ้นต้นน้ำ ไปลงทุนปลายน้ำได้ อย่างหุ้นกลุ่มโรงกลั่น คาดว่าค่าการกลั่นน่าจะกลับมาเป็นปกติหลังจากปี 61 อยู่ที่แถว 2-3 เหรียญฯ/บาร์เรล ถือว่าต่ำเกินไป

*MBKET มองปัจจัยเสี่ยงของปี 62 ยังอยู่ที่สงครามการค้า-หวั่นกระทบศก.โลก พร้อมให้จับตาทิศทางราคาน้ำมัน

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงของตลาดฯในปี 62 ยังเป็นเรื่องสงครามการค้า ซึ่งก็คิดว่าจะไม่จบง่าย หากยืดเยื้อจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งสิ้นปี 61 ทางยุโรปก็จะสิ้นสุดการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แล้วทำให้สภาพคล่องหายไปบ้าง

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ เพราะปัจจุบันอยู่ระดับต่ำ อย่างราคาน้ำมันดิบ Brent ขณะนี้อยู่ที่ราว 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากยังเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนมี Downside อีก โดยการ review ของนักวิเคราะห์อาจจะปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลง แต่ฝ่ายวิจัยขณะนี้ยังคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ Brent ปี 62 ไว้ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งขณะนี้ตลาดฯไม่ค่อยไปไหน เพราะกองทุนก็วิตกเรื่องนี้เช่นกัน

ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 62 แม้ว่าจะมีเรื่องการเลือกตั้งในประเทศ แต่ตลาดฯก็คงจะไม่สดใสมากนัก เพราะเป็นช่วง Low season ของหลายธุรกิจ และด้านการเมืองก็อาจจะต้องใช้เวลาในการฟอร์มรัฐบาล, วางนโยบายต่าง ๆ อีก เป็นต้น แต่ก็คาดหวังว่าทิศทางตลาดฯจะดีขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังปี 62 จากฐานที่ต่ำในปี 61 และถึงเวลานั้นราคาหุ้นก็คงจะอยู่ในระดับที่ถูกจนน่าสนใจลงทุน

พร้อมแนะนำการลงทุนในปีนี้เป็นหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ และยังจะมีเรื่องการประมูลสัมปทานร้านดิวตี้ฟรี จึงแนะนำหุ้น AOT, หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำ EGCO เนื่องจากลงทุนแล้วปลอดภัย และยังจะมีแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่คาดว่าจะออกมาได้ในเดือน ม.ค.62 คาดว่าจะทำให้โรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ได้ประโยชน์

อีกทั้งกลุ่มค้าปลีกก็น่าสนใจลงทุน เพราะภาครัฐฯพยายามที่จะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่วนกลุ่มไฟแนนนซ์ ก็น่าสนใจลงทุน แนะนำ MTC, SAWAD เนื่องจากคงจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะคิดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มาก แม้จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่มาร์จิ้นก็อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว

*KTBS มองปี 62 เผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจเป็นหลัก ,แนะลงทุนหุ้นภูมิต้านทานสูง

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBS กล่าวว่า ภาพการลงทุนในปี 62 โดยรวมไม่ค่อยดีมากนัก เนื่องจากยังเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่ก็มี 3 ตัวแปรที่ยังพอมีความหวังในการหนุนตลาดฯได้ คือ 1.การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หากตกลงกันได้เรียบร้อยในเดือน ก.พ. ก็จะดีในช่วงครึ่งหลังของปี, 2.ราคาน้ำมัน ถ้าอยู่ในทิศทางที่ดีก็จะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นได้ดี และ 3.การเมืองในประเทศ แต่ก็ยังมองในแง่บวกอยู่

"ตอนนี้ Downside risk ตลาดบ้านเรามีไม่เยอะ เพราะตลาดได้ปรับตัวลงไปเยอะแล้ว ซึ่งมองแนว Support ในจุดที่แย่สุดที่ 1,524 จุด ดังนั้นหากมองตรงนี้ตลาดฯคงจะลงไปไม่ลึกแล้ว"

ในแง่กลยุทธ์การลงทุนในปี 62 แนะ Hold พอร์ตไว้ โดยการจัดพอร์ตหุ้นต้องมีภูมิต้านทานสูง ซึ่งให้น้ำหนัก 80% เป็นหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า, ค้าปลีก, การเงิน และโรงพยาบาล เพราะกำไรจะไม่ผันผวนมาก จึงควรมีติดพอร์ตไว้ อีกส่วน 20% แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ปรับตัวลงไปมากแล้ว โดยเฉพาะหุ้นที่ลงลึกแต่ผลประกอบการไม่ได้แย่

สำหรับหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันคงจะยังไม่แนะนำ และกลุ่มปิโตรเคมี แม้ว่าสเปรดจะดีแต่ก็มีเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวเข้ามา จึงยังไม่แน่นอนว่าจะดีจริงหรือไม่ แต่ก็ยังพอเล่นเทรดดิ้งได้ ส่วนหุ้นกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์, รถยนต์, ที่อยู่อาศัย และการส่งออก ต้องรอดูว่าจะลงถึงจุดต่ำสุดเมื่อใด เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงกดดันอยู่

*UOBKH มองตลาด Downside จำกัดหลังลงสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว, ปี 62 เชียร์ลงทุนกลุ่มไฟฟ้า-กลุ่มแบงก์-ค้าปลีก

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) หรือ UOBKH กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 62 ตลาดหุ้นน่าจะได้รับประโยชน์จากสหรัฐผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เหลือแค่ 2 ครั้ง คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น ช่วงครึ่งปีแรกการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงจะยังไม่ชัดเจน น่าจะคงอัตราดอกเบี้ย แค่นี้ก็เป็นสัญญาณบวกให้ตลาดฯได้แล้ว นอกจากนี้ ประเด็นสงครามการค้าก็คาดว่าจะดีขึ้น แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป

สำหรับตลาดหุ้นไทยก็ได้ถอยลงมามากแล้ว จนมาเทรดที่ P/E แค่ 13.5 เท่า ระดับดัชนีฯแถว 1,590 จุด มองว่าได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ดังนั้น จึงมอง Downside ตลาดฯ จำกัด และหากมีปัจจัยบวกเข้ามาก็น่าจะช่วยทำให้ตลาดฯ ฟื้นตัวขึ้นได้

ด้านการเลือกตั้งในประเทศที่จะเกิดขึ้นในปี 62 นักลงทุนกังวลัญหาหลังการเลือกตั้งมากเกินไป ทำให้เกิดแรงขาย อีกส่วนก็มีการปรับพอร์ตการลงทุนไปมากแล้ว ทั้งที่ภาพการลงทุนในตลาดฯยังแข็งแกร่ง หลังการเลือกตั้งคาดว่าจะมีปัจจัยบวกเพิ่มเข้ามาอีก

ส่วนในครึ่งหลังปี 62 จะมีความไม่แน่นอนมากขึ้น อย่างแรกธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี และทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็อาจจะเริ่มใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น โดยอาจเริ่มลดขนาดงบดุล ซึ่งตลาดก็อาจมีความเสี่ยงจากนโยบายที่ตึงตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ หุ้นที่น่าลงทุนในปีนี้เป็นหุ้นในกลุ่มไฟฟ้า มองว่าปลอดภัยจากความผันผวน และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ อย่างแบงก์และค้าปลีก ส่วนกลุ่มพลังงานยังต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด

*TNS เล็งเป้าดัชนี SET ปี 62 ไว้ที่ 1,961 จุด เชียร์กลุ่มรับเหมาฯ-ค้าปลีก-ไมโครไฟแนนซ์

นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต (TNS) กล่าวว่า เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปี 62 มองไว้ที่ 1,950 จุด คิดเป็น P/E 16 เท่า และคาดว่าการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ 10%

ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีหากตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่ฟื้นตัว ตลาดหุ้นไทยก็คงจะฟื้นตัวได้ยาก ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะต้องติดตามในปีนี้เป็นเรื่องทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และการเลือกตั้งของไทยที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีว่าจะมีความราบรื่นหรือไม่

อย่างไรก็ดี ปี 62 หุ้นที่น่าสนใจลงทุนมองเป็นหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ เพราะคาดว่าดอกเบี้ยคงจะไม่ปรับขึ้นมากนัก ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงานแนะนำให้หลีกเลี่ยงไปก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ