(เพิ่มเติม) SCBS เชื่อ SET index ทะยานตั้งแต่ Q1 คงเป้าหมายปี 62 ที่ 2,000 จุด ศก.โดยรวมโตต่อเนื่อง-โมเมนตัมการลงทุนเป็นบวก

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 3, 2019 16:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกช่วงที่ผ่านมาเป็นการพักฐาน หรือ Correction ในระยะสั้น เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและการเติบโตของกำไรบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก โดยความกังวลหลัก ๆ มาจากเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน, ความไม่แน่นอนของข้อตกลงต่อการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) , และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่หลายฝ่ายมองว่าขึ้นมามากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ความกังวลเหล่านี้มีแนวโน้มดีขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยจีน-สหรัฐฯ จะมีการเจรจากันในต้นเดือน ม.ค. หลังจากสงบศึกการค้าไปก่อนหน้านี้ ส่วนสภาผู้แทนอังกฤษจะมีการลงมติเลือกแนวทาง Brexit ซึ่งจะทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น ในขณะที่เฟดส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2562 ทั้งหมดนี้จะช่วยลดความกังวลต่อความเสี่ยงหลัง ๆ ลงได้มาก ทำให้ปัจจัยภายนอกที่กดดันตลาดเกิดใหม่ค่อยๆ คลี่คลายลง

สำหรับประเทศไทย SCBS มองเศรษฐกิจรับอานิสงส์วัฏจักรการลงทุนขาขึ้น เห็นได้จากผลการสำรวจภาวะและแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น การลงทุนในประเทศฟื้นตัวดีมีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อเนื่องไปถึงกลุ่มธนาคาร มองไปข้างหน้า ภาวะและแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อสำหรับไตรมาส 4 ปี 2561 เริ่มเห็นความต้องการสินเชื่อจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกๆ ประเภท ทั้งสินเชื่อระยะยาว/ระยะสั้นสำหรับธุรกิจทุกขนาดและสินเชื่อภาคครัวเรือนทุกประเภท ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 1.75% ตามคาดไปแล้วเมื่อเดือน ธ.ค. ก็สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4 เดือน ต.ค. และ พ.ย. ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ทั้งการบริโภคในประเทศ การลงทุน และจำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกในเดือน พ.ย. จากนักท่องเที่ยวมาเลเซีย และอินเดียที่เติบโตดี และนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัว คาดดอกเบี้ยไทยยังมีโอกาสปรับขึ้นอีก 1-3 ครั้งในปี 2562 ตามมุมมองวัฏจักรการลงทุนและดอกเบี้ยขาขึ้น

นายพรเทพ เชื่อหุ้นไทยทะยานตั้งแต่ไตรมาสแรก SET จะปรับตัวขึ้นโดยได้รับแรงสนับสนุนจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ขยายตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย กำไรที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียน และ Valuation ที่น่าสนใจ โดยอิง fwd P/E ที่ 15.5 เท่า สำหรับธีมการลงทุนผู้ชนะในไตรมาสแรกปี 2562 มองไปที่วัฎจักรการลงทุนในประเทศ ส่งผลดีต่อนิคมอุตสาหกรรม การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. หนุนกลุ่มธนาคารและแนวโน้มราคาหมูและปลาทูน่าที่จะส่งผลดีต่อกลุ่มอาหาร ส่งผลให้คงเป้าหมายดัชนีทั้งปีที่ 2,000 จุด

ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนกลุ่มที่มีแนวโน้มสดใสในปี 2562 ไตรมาสแรกจะมาจาก 2 แนวโน้มหลัก ได้แก่ กลุ่มแรก แนวโน้มที่ดำเนินต่อเนื่องมาจากช่วงก่อนหน้า ได้แก่ วัฎจักรการลงทุนรอบใหม่ (กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม) และวัฎจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ย (กลุ่มธนาคาร) ซึ่งได้รับการยืนยันจากการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่แข็งแกร่ง อัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นทะลุ 70% ในเดือน พ.ย. และสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยของกนง. และ กลุ่มที่สอง ตามแนวโน้มที่กำลังมาใหม่ คือวัฎจักรอุณภูมิน้ำทะเลซึ่งสำนักงานสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐ (NOAA) ของสหรัฐฯ มองว่าโลกกำลังจะเข้าสู่ภาวะ El Nino อ่อนๆ ซึ่งมักส่งผลดีต่อต้นทุนปลาทูน่าจะมีราคาถูกลงขณะที่ส่งผลให้ราคาหมูเพิ่มขึ้น ดังนั้น ธีมการลงทุนในไตรมาสแรกปี 2562 หุ้น top picks กลุ่มที่น่าจับตามองได้แก่ กลุ่มธุรกิจหมูและธุรกิจทูน่า (CPF TU) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (ROJNA WHA) และ กลุ่มธนาคาร (BBL KTB)

นายพรเทพ กล่าวว่า ประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 62 จะเติบโตชะลอตัวลงจากปี 61 เนื่องจากในปี 61 มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาพรวมของกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนในปี 61 เพิ่มขึ้น ซึ่งได้ประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 61 เติบโต 12% แต่ในปี 62 กลุ่มโรงไฟฟ้าไม่มีกำไรพิเศษดังกล่าวเข้ามา ทำให้กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนในปี 62 จะเติบโตเพียง 7%

ขณะเดียวกันมองว่าแนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติจะเริ่มเห็นกลับมาเป็นฝั่งซื้อในตลาดหุ้นเกิดใหม่มากขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นเกิดใหม่ถูกขายจากต่างชาติเป็นจำนวนมาก เนื่องจากในปีก่อนกระแสเงินทุนไหลกลับไปสู่สหรัฐฯ หลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตโดดเด่นในปีที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดแรงขายในตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ แต่ในปีนี้สถานการณ์จะพลิกกลับกัน โดยที่แนวโน้มของกระแสเงินทุนจะไหลกลับมาสู่ตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง เพราะมูลค่าของสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ได้ปรับตัวลดลงมาและมีความน่าสนใจมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอการเติบโตส่งผลบวกต่อตลาดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่จะเห็นกระแสเงินไหลกลับเข้ามามากขึ้น

ทั้งนี้ มองว่าในช่วงปลายปี 61 และต้นปี 62 เป็นช่วงที่แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นได้ เพราะเป็นจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับฐานลงมาแล้ว และหากปัจจัยด้านการเมือง เศรษฐกิจ กำไรบริษัทจดทะเบียน และปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ออกมาในทิศทางที่ดี จะส่งผลบวกต่อดัชนีที่จะทะยานเพิ่มขึ้นได้ต่อ โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 62 (ม.ค.-ก.พ. 62) คาดว่าดัชนี SET จะเพิ่มขึ้นไปทดสอบที่ 1,700 จุด และหากผ่านพ้นการเลือกตั้งไปได้ด้วยดีคาดว่าดัชนี SET ในครึ่งปีแรกจะอยู่ที่ 1,850 จุด ก่อนจะค่อย ๆ ปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,900-2,000 จุดในช่วงปลายปี 62

อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มหุ้นที่ทางบล.ไทยพาณิชย์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงในปีนี้ เช่น กลุ่มสื่อแบบดั้งเดิม ที่จะได้รับผลกระทบจากการที่ธุรกิจต่าง ๆ ไปใช้สื่อประเภทใหม่ ๆ ผ่านการโฆษณาแบบ out of home และออนไลน์มากขึ้น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากที่แอปเปิลออกมายอมรับว่ายอดขายไอโฟนในประเทศจีนลดลงอย่างมาก และไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้อาจจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้ และกลุ่มสื่อสาร ที่มองว่าเป็นกลุ่มที่ยังไม่เห็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการแข่งขันของกลุ่มสื่อสารที่รุนแรง ทำให้ผลการดำเนินงานเติบโตได้เพียงเล็กน้อย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ