บลจ.กสิกรไทย มองเป้า SET ปลายปี 62 ที่ 1,750 จุด รับแรงหนุนเลือกตั้ง-ศก.ในประเทศดี แม้ปัจจัยตปท.ไม่แน่นอนสูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 14, 2019 14:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงมุมมองเป็นบวกสำหรับภาพการลงทุนระยะกลางถึงยาวในตลาดหุ้นไทย จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเติบโตดี โดยมองเป้าหมาย SET Index ปลายปี 62 ที่ 1,750 จุด บนสมมติฐานการคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ที่ 6% ปรับลงจากก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ในระดับ 8% เนื่องจากการปรับลดระดับราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีลงมาที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากที่เคยคาดไว้ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ทั้งนี้ มองว่าระดับดัชนีในระดับต่ำกว่า 1,600 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุนสำหรับระยะกลางถึงยาว เนื่องจากสะท้อน Valuation ที่ P/E ปี 62 ที่ 13.8 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง รวมถึง ระดับ Dividend Yield ที่ ประมาณ 3.5% น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดได้

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 62 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ด้วยปัจจัยบวกภายในประเทศอย่างโครงการลงทุนภาครัฐ นำโดยโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในขณะที่ปัจจัยภายนอกยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน เรื่องการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตามองการเลือกตั้งของประเทศไทยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน มี.ค.62 ซึ่งถ้าหากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่นจะช่วยดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ เนื่องจากความมีเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญในมุมมองของนักลงทุน

ขณะที่คาดว่าในปี 62 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) จะมีอัตราการเติบโตในระดับ 4% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่คาดว่าจะอยู่ 4.2% เนื่องจากภาคส่งออกที่เคยเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่วนภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลง

นอกจากนี้ รายได้ภาคเกษตรกรรมยังคงไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยราคาปาล์มและยางพาราเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำในรอบหลายปี อย่างไรก็ตามยังหวังว่าโครงการการลงทุนและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐและเอกชนจะมาเป็นช่วยสนับสนุนได้

"จากมุมมองที่ยังคงเป็นบวกในตลาดหุ้นไทยดังกล่าว บลจ.กสิกรไทยมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีการลงทุนในกองทุน LTF ซึ่งครบกำหนดอายุในปีนี้ และยังไม่มีแผนการใช้เงิน ประกอบกับมีเป้าหมายเพื่อการลงทุนระยะยาว ยังสามารถถือกองทุน LTF ต่อไปได้ เนื่องจากวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการลงทุนใน LTF นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี คือการสร้างโอกาสทำกำไรจากการลงทุน และต่อยอดเงินลงทุนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้น (SET Index) ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หากลงทุนระยะยาวมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ก็จะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 9-10% ต่อปี"

ส่วนผู้ที่ต้องการขายคืนหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อนำเงินกลับมาลงทุนต่อ อาจต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนมีความเหมาะสมตามเป้าหมายการลงทุนแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ในปี 62 นี้จะเป็นปีสุดท้ายสำหรับการลงทุนในกองทุน LTF เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี บลจ.กสิกรไทยจึงแนะนำให้วางแผนการลงทุนตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะช่วงต้นปีที่ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ หรือสามารถทยอยสะสมการลงทุนในระหว่างปีในจังหวะที่หุ้นปรับตัวย่อลงได้

นางสาวธิดาศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ลงทุนที่มีความจำเป็นต้องขายคืนหน่วยลงทุนแต่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอใช้จ่ายหรือรอจังหวะลงทุนเพิ่มเติมในปีนี้ หากรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำถึงปานกลาง แนะนำให้มาพักเงินกับกองทุนประเภทตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก ซึ่งกองทุนที่ทาง บลจ.กสิกรไทย แนะนำ ได้แก่ กองทุน K-SFPLUS และกองทุน K-PLAN1 ส่วนผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง อาจเลือกกระจายลงทุนในกองทุนผสม ได้แก่ กองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3

สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทุน LTF บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำธีมการลงทุนในหุ้นใหญ่ ผันผวนต่ำ ซึ่งเหมาะกับสภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้ โดยแนะนำกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอต่อเนื่อง 11 ปี มากถึง 17 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8.22 บาทต่อหน่วย ถือเป็นกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงสุด เมื่อเทียบกับ LTF อื่น ๆ ของบลจ.กสิกรไทย และมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อสอดรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ