นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย, นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวในงานสัมมนา "เศรษฐกิจไทยกับการเลือกตั้ง" ว่า การลงทุนของนักลงทุนในปีนี้ต้องยอมรับว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่ เนื่องจากยังรอดูความชัดเจนในเรื่องของการเลือกตั้งว่าจะได้รัฐบาลใดเข้ามาบริหารประเทศ และจะดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ ซึ่งการเลือกตั้งในรอบนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก ในแง่สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้ ในรัฐบาลชุดนี้พยายามบอกกับนักลงทุนว่า ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, มี พ.ร.บ.อีอีซี และอื่นๆ ที่จะผูกมัดรัฐบาลที่จะเข้ามาใหม่ให้ไม่สามารถล้มเลิกโครงการได้ แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาลงทุนก็อยากเห็นความชัดเจนมากกว่านี้ ทำให้อาจจะมีการชะลอการลงทุน เพื่อรอดูว่าจะเป็นไปตามที่รัฐบาลนี้บอกไว้หรือไม่ ซึ่งหากเป็นไปตามดังกล่าวก็จะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงชะลอตัว ก็อาจทำให้การส่งออกของไทยเติบโตได้ไม่มากนัก จึงจำเป็นต้องหาตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งการลงทุนใน EEC หรือ ธุรกิจใหม่ๆ จะช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
พร้อมกันนี้ ทางสมาคมฯ มองดัชนีหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1,800 จุด ปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา จากปัจจัยการเลือกตั้งที่จะเข้ามาช่วยหนุน และภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลดความร้อนแรงลง ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกท่าทีชัดเจนในการหยุดขึ้นดอกเบี้ยหรืออาจปรับขึ้นไม่มากแล้ว และการดึงสภาพคล่องออกจากระบบก็จะค่อยๆ ทำไป
"ผมเชื่อว่าปีนี้ จะเป็นปีที่เงินจะไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลง จากท่าทีของเฟดที่จะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย หรือหยุดการขึ้นดอกเบี้ย ก็จะทำให้เงินไหลออกจากตลาดอเมริกามาที่ตลาดเกิดใหม่ ถ้าการเมืองของเราสงบ เรียบร้อยดี แล้วกิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินการต่อไปได้ ก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นเราจะฟื้นตัว"นายไพบูลย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงรัฐบาลที่จะเข้ามาใหม่ว่าให้สานต่อโครงการต่อเนื่องจากรัฐบาลนี้ เช่น EEC เป็นต้นและอย่ามุ่งเน้นประชานิยมเพียงอย่างเดียว เนื่องจากอาจจะทำให้ประเทศไปไม่รอด