TU พุ่ง 5.17% โบรกฯเล็งกำไรจะกลับมา Turnaround ในปีนี้ จากการฟื้นตัวของธุรกิจทูน่า-กุ้ง-แซลมอน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 21, 2019 15:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

หุ้น TU ราคาวิ่งขึ้น 5.17% มาอยู่ที่ 18.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท มูลค่าซื้อขาย 455.38 ล้านบาท เมื่อเวลา 15.10 น. โดยเปิดตลาดที่ 17.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 18.30 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 17.40 บาท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) คาดกำไรจะกลับมา Turnaround ในปี 2562 จากการฟื้นตัวของธุรกิจทูน่าและกุ้ง รวมถึงธุรกิจแซลมอนที่จะกลับมามีกำไรอีกครั้ง กอปรกับคาดไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เหมือนในปี 2561 อีก จึงคาดกำไรปกติปี 2562 กลับมาโต 24.1% Y-Y ส่วนกำไรสุทธิจะโตมากกว่าที่ 52.4% Y-Y โดยคงราคาเป้าหมาย 20 บาท (อิง PE เดิม 17 เท่า)

ปัจจัยหนุนการเติบโตในปี 2562 จะมาจาก 1) คาดราคาปลาทูน่าจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เบื้องต้นมองไว้ระดับ US$1,500 -US$1,700 ต่อตัน และถ้าไม่ผันผวนมากจะเป็นบวกต่อทั้งการบริหารสต็อกของบริษัท และการซื้อปลาของลูกค้า 2) ธุรกิจกุ้งจะฟื้นตัวต่อเนื่อง จากภาวะการแข่งขันที่น่ารุนแรงน้อยลง รวมถึงปริมาณผลผลิตกุ้งไทยน่าจะกลับมาเพิ่มขึ้นได้ราว 5% Y-Y จากปี 2561 ที่ลดลง 3% Y-Y 3) ธุรกิจแซลมอนจะพลิกกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง จากที่ขาดทุนราว 5 ล้านยูโร ภายหลังหยุดการดำเนินธุรกิจในส่วนงานที่ขาดทุนไปแล้วในปีก่อน

4) คาดหวังการฟื้นตัวของ Red Lobster จากการวางกลยุทธ์ที่เข้มข้นมากขึ้นในปีนี้ เพราะครบกำหนด 3 ปี นับตั้งแต่ที่เข้าซื้อกิจการช่วงปลายปี 2559 (ส่วนระยะเวลาการใช้สิทธิแปลงสภาพยาว 10 ปี) ซึ่งบริษัทสามารถตัดสินใจเข้าถือหุ้นสามัญเพิ่มได้ด้วยการใช้สิทธิแปลงหุ้นบุริมสิทธิ์ในส่วนที่ถืออยู่ โดยจะพิจารณาจากพัฒนาการของ Red Lobster เป็นหลัก ซึ่งเชื่อว่าบริษัทจะตัดสินใจในแนวทางที่เป็นบวกกับบริษัทและผู้ถือหุ้นมากที่สุด 5) คาดว่าจะไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เหมือนในปี 2561 อีก ดังนั้น จึงยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2562 จะอยู่ที่ 5,488 ล้านบาท (+24.1% Y-Y) ส่วนในแง่กำไรสุทธิคาดเติบโตสูง 52.4% Y-Y

ทั้งนี้ คาดกำไรปกติไตรมาส 4/61 อยู่ที่ 1,481 ล้านบาท (-6% Q-Q, +39.1% Y-Y) สาเหตุที่กำไรลดลง Q-Q สอดคล้องกับช่วง Low Season ของธุรกิจ ส่วนสาเหตุที่กำไรจะโตดี Y-Y แม้ราคาปลาทูน่าเฉลี่ยไตรมาส 4/61 เท่ากับ US$1,408 ต่อตัน (-4% Q-Q, -30.7% Y-Y) แต่จากการบริหารจัดการที่ดี ทำให้ต้นทุนสต็อกปลาโดยเฉลี่ยไม่สูง จึงไม่ต้องเผชิญกับ Inventory Loss ในไตรมาสนี้ กอปรกับราคาปลาที่ถือว่าอยู่ในระดับต่ำลงมาแตะระดับ US$1,300 ต่อตัน ทำให้ปริมาณขายปลาทูน่ากลับมาคึกคักมากขึ้น ช่วยหนุนทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจทูน่า

ในขณะที่ธุรกิจกุ้งถือว่าฟื้นตัวได้ จากภาวะค่าเงินบาทที่ค่อนข้างทรงตัว เอื้อต่อการซื้อขายและการแข่งขัน รวมถึงธุรกิจอาหารสัตว์ยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะอาหารปลา ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของมีอัตรากำไรที่ดี จึงคาดรายได้รวมจะเติบโตได้ราว 2% Y-Y และอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 14.5% จาก 13.8% ในไตรมาส 4/60 และคาดว่ายังควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีตามเป้าหมาย คาดสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ 10.1% ลดลงจาก 11.1% ในไตรมาส 4/60 และในส่วนของบริษัทร่วมอย่าง Red Lobster น่าจะมีผลประกอบการที่แผ่วลงเป็นขาดทุนอีกครั้ง หลังจากมีกำไรเล็กน้อยในไตรมาส 3/61 เพราะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ แต่สุทธิแล้วคาดยังรับรู้กำไรต่อเนื่องจากการถือหุ้นบุริมสิทธิ์ และได้รับเงินปันผลในอัตรา 8%

ในแง่กำไรสุทธิไตรมาส 4/61 คาดจะเพิ่มขึ้น 7.6% Q-Q และทรงตัว Y-Y ที่คาดโต Q-Q เพราะคาดค่าใช้จ่ายในการปิดกิจการแซลมอนในสก็อตแลนด์จะน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาส 3/61 ที่รับรู้ไว้ 420 ล้านบาท แต่ด้วยค่าใช้จ่ายที่ยังเหลืออยู่ จึงคาดกำไรสุทธิจะทำได้เพียงทรงตัว Y-Y

หากกำไรปกติไตรมาส 4/61 เป็นไปตามคาด บริษัทจะมีกำไรปกติปี 2561 อยู่ที่ 4,422 ล้านบาท (-6.1% Y-Y) สาเหตุที่ลดลงเพราะราคาปลาทูน่าปรับลงแรง โดยราคาเฉลี่ย 2561 เท่ากับ US$1,530 ต่อตัน (-17.7% Y-Y) และเจอภาวะบาทแข็งตลอดช่วง 9M61 ในขณะที่กำไรสุทธิปี 2561 คาดไว้ที่ 3,601 ล้านบาท (-40% Y-Y) เป็นระดับกำไรต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากค่าใช้จ่ายพิเศษที่ค่อนข้างมากทั้ง ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่กรณียอมความกับลูกค้าในสหรัฐ และค่าใช้จ่ายปิดโรงงานแซลมอน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ