หุ้น KTB ราคาอ่อนตัวลง 2.02% มาอยู่ที่ 19.40 บาท ลดลง 0.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 351.57 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.12 น. โดยเปิดตลาดที่ 19.70 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 19.80 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 19.20 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯมีมุมมอง"เป็นลบ"ต่อกำไรไตรมาส 4/61 ของธนาคารกรุงไทย (KTB) ที่ 6.2 พันล้านบาท (+28.1% YoY แต่ -21.4% QoQ) ต่ำกว่าคาด 19% จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Opex) และการตั้งสำรองฯที่มากกว่าคาด เป็นผลให้กำไรปี 61 เป็น 2.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 27.0% YoY (ใกล้เคียงกับที่คาด)
ทั้งนี้ กำไรไตรมาส 4/61 เติบโต YoY จากการตั้งสำรองลดลง โดยไตรมาส 4/60 มีการตั้งสำรองลูกหนี้รายใหญ่ ส่วนกำไรลดลง QoQ กดดันจาก 1) Opex เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายการตลาดด้วยปัจจัยฤดูกาล และค่าใช้จ่ายพนักงานผลจากการปรับโครงสร้างองค์กร และ 2) การตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 5.7% QoQ สอดคล้องกับ Credit cost ปรับตัวขึ้นจาก 123 bps ในไตรมาส 3/61 เป็น 126 bps ในไตรมาส 4/61
ด้าน Gross NPL ทรงตัว QoQ บนสินเชื่อขยายตัว 2.1% QoQ (หนุนจากสินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อภาครัฐ) เป็นผลให้ NPL ratio ลดลงล็กน้อยจาก 5.3% ในไตรมาส 3/61 เป็น 5.2% ในไตรมาส 4/61 แต่เป็นระดับสูงสุดในกลุ่มฯ อีกทั้ง Coverage ratio ที่ 126% ในไตรมาส 4/61 อาจไม่เพียงพอรับมือกับความผันผวนของคุณภาพสินทรัพย์ในอนาคต
พร้อมคงประมาณการกำไรปี 62 ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 9.3% YoY โดยมองว่ามีประเด็นที่ต้องจับตาดังนี้ 1) ภาพรวมคุณภาพสินทรัพย์ยังอ่อนแอ โดยเฉพาะ Coverage ratio ณ ปัจจุบันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม ที่ 145% อาจต้องเร่งตั้งสำรองเพื่อเพิ่ม Coverage ratio ให้ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่ม และเตรียมความพร้อมต่อ IFRS9 ซึ่งมองว่า KTB มีความพร้อมต่ำสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ และ 2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่อาจสูงกว่าสมมติฐาน ณ ปัจจุบัน เป็น Downside risk สำคัญต่อประมาณการ เพราะ KTB ตั้งงบลงทุน IT ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทในปีนี้ จากปี 61 ที่ 1.0 หมื่นล้านบาท