KBANK มองเงินบาทปีนี้ผันผวน ต้นปีแข็งค่าก่อนทยอยอ่อนค่าช่วงที่เหลือตามภาพรวมเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 16, 2019 16:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับกรอบเงินบาทสิ้นปีนี้ใหม่เป็น 33.00 บาท/ดอลลาร์ จากเดิมคาด 34.00 บาท/ดอลลาร์ หลังปัจจัยด้านฤดูกาลท่องเที่ยวที่หมดลง ประกอบกับ ผลกระทบจากการเจรจาการค้าสหรัฐและจีนที่คาดว่าจะยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ และ ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นปัจจัยให้เงินบาททยอยอ่อนค่าในช่วงที่เหลือของปีนี้

โดยมองว่าไตรมาส 1/62 เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า จากทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากความกังวลว่าสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในไม่ช้า ขณะที่เริ่มมีความหวังว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะราบรื่นจะทำให้เงินสกุลตลาดเกิดใหม่แข็งค่า ขณะที่ปัจจัยในประเทศเองการเลือกตั้งที่มีกรอบเวลาชัดเจน และปัจจัยฤดูกาลท่องเที่ยว รวมไปถึงประเทศไทยถือว่ามีเสถียรภาพความเข้มแข็งสูง จึงมีทิศทางที่เงินมีโอกาสไหลกลับเข้ามาเพิ่มเติมด้วยยิ่งกดดันให้เงินบาทแข็งค่าที่ระดับ 31.50 บาท/ดอลลาร์ และ อาจแข็งค่าถึงระดับ 31.30 บาท/ดอลลาร์ได้

เศรษฐกิจโลกปีนี้คาดจะขยายตัวได้ในอัตราที่ลดลงจากปีก่อนรับปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เห็นชัดเจนมากขึ้น เช่น นโยบายกีดกันทางการค้าและนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น ส่วนเศรษฐกิจสหัฐการขยายตัวในช่วงที่ผ่านมานั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายปฎิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคครัวเรือนและการลงทุนของภาคธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม แรงส่งต่อเศรษฐกิจจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวคาดว่าจะค่อยๆแผ่วลงในระยะต่อไป ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีน ยังมีปัจจัยที่กดดัน ทั้งจากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ โดยเศรษฐกิจจีนขยายตัวชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายปฎิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของภาครัฐและอีกส่วนหนึ่งเกิดจากผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า

"จากการที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวในทิศทางที่ชะลอตัวลง จึงมองว่าเศรษฐกิจไทยก็จะอยู่ในทิศทางนี้เช่นกัน โดยภาคการส่งออกและ ท่องเที่ยว มีทิศทางที่เติบโตชะลอลงจากปีที่ผ่านๆมา ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามในปีนี้ คือ เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐกับจีนชะลอตัวลง และ มีแรงกดดันต่อภาคการส่งออกไทยให้โตเพียง 4.5% ส่วนเศรษฐกิจทั้งปีจะโต 4% นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเพิ่มขึ้นจากการที่รัฐสภาอังกฤษลงมติคว่ำร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันยุโรป และ อังกฤษโดยมีความเป็นไปได้สูงที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และ อาจมีผลทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจต้องเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไปด้วย" นายกอบสิทธิ์ กล่าว

ด้านนายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ไว้ที่ 1,750 จุด โดยมองว่าในไตรมาส 1/62 คาดดัชนีแตะ 1,650 จุด เพราะมีการปรับพอร์ตจากประเทศที่พัฒนาแล้วมาตลาดเกิดใหม่ และไทยถือว่าเป็นประเทศที่เข้มแข็งและถือว่าเป็นประเทศที่นักลงทุนถือว่าความปลอดภัยสูง แต่เชื่อว่าจะเกิดเพียงชั่วคราวเท่านั้น

สำหรับกลุ่มที่แนะนำให้ลงทุนอย่างแรก คือ ธนาคาร เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ ธนาคารทิสโก้ (TISCO) กลุ่มค้าปลีก เช่น บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO), บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) , กลุ่มโรงแรม เช่น บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL), บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) , บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) , กลุ่มรับเหมา เช่น บมจ. ช.การช่าง (CK) , บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ,กลุ่มพลังงาน เช่น บมจ. ปตท. (PTT) ,กลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM)

https://youtu.be/Ee1Ejaas2Hk


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ