บล.เอเชีย เวลท์ มอง SET สิ้นปี 62 อยู่ที่ 1,810 จุด จากคาดกำไรบจ.เติบโต-เฟดชะลอขึ้นดบ.-เลือกตั้งไทยหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 22, 2019 16:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย รองกรรมการผู้จัดการ วิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 62 จะอยู่ที่ 1,810 จุด บนสมมุติฐาน P/E 16 เท่า และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 6% หรือ 113.2 บาทต่อหุ้น โดยมองปัจจัยต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายลง ทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีที่ผ่านมา ก็คาดว่าในปีนี้อาจจะเพิ่มขึ้นได้อีกเพียง 1-2 ครั้งหรืออาจจะไม่ปรับขึ้นเลย โดยหากปรับขึ้นดอกเบี้ยก็น่าจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย คาดว่าอาจจะปรับขึ้นเพียง 1 ครั้งหรือไม่ปรับขึ้นเลย และคาดว่าจะคง Policy Space ให้มีส่วนต่างพอที่จะปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในอนาคต และคงส่วนต่างจากดอกเบี้ยเฟดราว 0.75%

ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นภายในกำหนดที่ได้มีการเลื่อนการใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันจากเดิม 1 ม.ค.62 ออกไปอีก 90 วันเป็นประมาณ 1 เม.ย.62 มองทิศทางเรื่องนี้น่าจะมีทางออกที่ดีขึ้นเพราะสหรัฐฯ ก็เริ่มได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้แล้ว

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ ปีนี้จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อ่อนตัวลงจากระดับ 69 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 61 จากคาดว่าสหรัฐฯ จะเพิ่มผลผลิตน้ำมันดิบจากราว 10-11 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็น 12 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 62 และในปี 63 สหรัฐฯจะกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิ หลังจากที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิมาตลอด

นอกจากนี้การที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) มองว่ามีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยไม่มาก โดยกำหนดเวลาที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษต้องนำเสนอร่างข้อตกลง Brexit ต่อรัฐสภาอังกฤษเพื่ออนุมัติแผนการนำอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (อียู) แล้วจะดำเนินการค้าขายกันอย่างไร แต่หากรัฐสภายังคงไม่เห็นด้วยก็อาจจะต้อง Brexit โดยไม่มีแผนรองรับซึ่งเป็นเรื่องเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของอังกฤษหรืออาจจะขอยืดกำหนดออกไปจาก 29 มี.ค.62 อย่างไรก็ตามหาก Brexit ไม่เป็นไปตามแผนอาจจะเกิด Sentiment เชิงลบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทย

นางสาววชิราลักษณ์ กล่าวว่า สำหรับการเลือกตั้งของไทย คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนมี.ค.62 โดยเริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งแล้วตั้งแต่เดือน ธ.ค.61 ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่คาดว่าจะอยู่ในช่วงต้นเดือนพ.ค.62 ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าวไทยก็น่าจะมีบรรยากาศการรื่นเริงเฉลิมฉลองในช่วงงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกด้วย ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตดีขึ้นในช่วงไตรมาส 1/62 และไตรมาส 2/62

กลยุทธ์การลงทุนปี 62 เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นจะมี Rally before Election นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น แต่อย่างไรก็ตามภาคธุรกิจยังคงเผชิญกับภาวะ Business Disruption จะต้องมีการปรับตัวในโลกยุคดิจิทัลอีกมาก ซึ่งระยะปานกลางมองว่ายังเป็นปัจจัยลบที่อาจจะกระทบกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนได้ จึงแนะนำลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากการปรับตัวสู่โลกยุคดิจิทัลและอาจจะถูก Disruption ได้ยากกว่าธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ BEM, BCH, GPSC, KCE , KKP, และ TU

"เรามองว่าการลงทุนปี 62 มองดูว่ายาก แต่ไม่ยากเท่ากับปี 61 แล้วเราเน้นที่ปัจจัยชี้นำการลงทุนเป็นหลัก เช่น ราคาน้ำมันดิบหากราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่ดีเราจะเน้นการลงทุนไปที่หุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี แต่หากราคาน้ำมันอ่อนแอลง เราจะเลือกลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันอ่อนตัวลง เช่น TASCO, EPG เป็นต้น"

อย่างไรก็ตามนักลงทุนต้องคอยระวังความเสี่ยงของการลงทุนอยู่ที่กฏเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ออกมากระทบต่อบรรยากาศการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น ๆ เช่น การที่ภาครัฐออกมาตรการควบคุมค่ายาและค่ารักษาพยาบาลกระทบต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล แม้จะประเมินว่าในระยะยาวผลกระทบสุทธิจะกลับมาเป็นบวกต่อผู้ประกอบการเดิมที่มีความแข็งแรงในอุตสาหกรรม แต่ระยะสั้นหุ้นจะถูกเทขายหนัก นักลงทุนควรหาจังหวะการเข้าซื้อเพื่อให้ได้ราคาดี ส่วนอีกกลุ่มอุตสาหกรรม คืออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย LTV ใหม่ที่มีผลบังคับใช้ 1 เม.ย.62 คาดว่าระยะเริ่มต้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างหนัก แต่ในท้ายที่สุดผู้ประกอบการรายเล็กจะอยู่รอดได้ยากจะเหลือแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่คาดว่าจะกลับมาได้ประโยชน์จากการที่ซัพพลายในตลาดหดหายไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ