เอกชนมองศก.ไทยปี 62 เติบโตรับส่งออก-กำลังซื้อในประเทศ-เลือกตั้งหนุน พร้อมคาด SET ไปต่อที่ 1,738 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 23, 2019 17:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เอกชนมองเศรษฐกิจไทยปี 62 เติบโตต่อเนื่องจากภาคการส่งออกและบริการ แม้จะยังมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่ไทยยังมีจุดแข็งจากภาคบริการและการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง ประกอบกับกำลังซื้อภายในประเทศที่น่าจะมีมากขึ้น ผนวกกับไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเป็นปัจจัยที่ช่วยคลายความกังวลผลกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ ขณะที่ บล.บัวหลวง มองดัชนีหุ้นไทยปี 62 จะอยู่ที่ 1,738 จุด ขานรับปัจจัยหนุนการเลือกตั้ง

นายเจน นำชัยศิริ อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยในงานสัมมนา "ส่องทิศทางการค้าต่างประเทศ และเศรษฐกิจไทย 2562"ว่า การส่งออกของไทยยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง จากคาดการณ์ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประมาณการณ์การส่งออกปีนี้จะเติบโตได้ 6% และเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 4% เนื่องจากไทยมีการค้าขายไปกับทั่วโลก ประกอบกับเมื่อได้รับผลกระทบก็ยังมีจุดแข็งจากภาคการบริการและการท่องเที่ยว และกำลังซื้อภายในประเทศที่จะเข้ามาช่วยผ่อนคลายความกังวลต่อปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังมีหลายปัจจัยที่ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน, การถอนตัวของประเทศอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit), แนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยให้ติดตามการดำเนินมาตรการของจีนในเรื่องของการกระตุ้นการใช้จ่ายว่าจะส่งผลได้มากน้อยเพียงใด

พร้อมกันนี้มองการประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ส่งผลดีต่อภาพการลงทุน เนื่องจากเป็นการยืนยันของรัฐบาลในการทำตามโรดแมพ ทำให้บรรยากาศในประเทศคลายความกังวลลงไป ส่วนในระยะถัดไปคาดว่าประชาชนน่าจะมองถึงวันเลือกตั้งและผลของการเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนต่อ Sentiment บวกเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง จะสร้างความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับต่อประชาคมโลก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาก็อยากให้มีการดำเนินโครงการที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่อง โดยประเด็นที่ต้องติดตามต่อ คือ นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเป็นรัฐบาลผสมแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป

ด้านนายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า การเลือกตั้งจะส่งผลดีต่อภาพการลงทุน ซึ่งน่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนฟื้นตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามปัจจัยในต่างประเทศ ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงประเด็น Brexit ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่

ขณะที่การปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 62-63 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นั้นเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่เติบโตชะลอลง โดยแนะภาคเอกชน ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ต้องยกระดับความสามารถในการแข่งขัน

ขณะที่นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า การที่ประเทศมีความชัดเจนในเรื่องของการเลือกตั้ง ทำให้ส่งผลบวกต่อภาพการลงทุนอย่างมาก จากการคลายความกังวลลง โดยเชื่อว่าภาคการบริโภคภายในประเทศน่าจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย ประกอบกับด้วย P/E ตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในระดับไม่แพงมากนัก ประมาณ 13-14 เท่า และอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ที่ระดับ 6-8% รวมถึงเศรษฐกิจไทยที่น่าจะเติบโตได้ 4% ก็ถือว่าไทยยังเป็นประเทศที่น่าสนใจการลงทุน

ด้านการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศ (FDI) เชื่อว่าปีนี้น่าจะเห็นเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น จากปีก่อนที่มีการขอส่งเสริมการลงทุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) รวมกว่า 9 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ราว 6.8 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าหากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาจะยังดำเนินโครงการ EEC ต่อไป ซึ่งอยากเห็นรัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในประเทศ ก็จะดึงเม็ดเงินลงทุนกลับเข้ามา

ส่วนปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในการลงทุนคือ ปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน, Brexit และการทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อดัชนีหุ้นอย่างมาก

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 62 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,738 จุด บนสมมติฐาน P/E ที่ 15.8 เท่า และ EPS Growth ที่ 10% มาที่ 110 บาท/หุ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของการเลือกตั้ง และปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งประเด็นที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นทั่วโลก คือ ค่าเงินดอลลาร์น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและยุโรปจะกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน, เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ (EM) จะปรับตัวดีกว่าประเทศอื่น ๆ, ตลาดหุ้นสหรัฐและการให้อัตราผลตอบแทนจะต่ำกว่าตลาดอื่น และหุ้นมูลค่าที่มีความเสี่ยงต่อกำไรต่ำ จะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด

สำหรับแนวทางการลงทุนในปีนี้ แนะนำการลงทุนในระยะสั้น เก็งกำไรช่วงการเลือกตั้ง เนื่องจากมีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัว หลังรับรู้ความเสี่ยงไปมากในไตรมาส 4/61 โดยหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์ก่อนการเลือกตั้ง ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อย่าง WHA, กลุ่มค้าปลีก อย่าง GLOBAL,CPALL และกลุ่มอาหาร อย่าง OSP,M เป็นต้น

ขณะเดียวกันแนะเก็งกำไรในผลประกอบการไตรมาส 4/61 ในกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตมากว่า 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน เช่น กลุ่มท่องเที่ยว, สินเชื่อรายย่อย, อาหาร และนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงแนะเล่นตามเงินปันผล ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์, ธนาคาร, พลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งหลายตัวให้ผลตอบแทนปันผลมากกว่า 4%

นอกจากนี้ ยังแนะนำลงทุนในกลุ่มของการท่องเที่ยว ซึ่งเชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น จากเป็นช่วงของไฮซีซั่น ในไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ของทุกปี เช่น CENTEL, MINT, AOT

ส่วนปัจจัยเสี่ยงของการลงทุนมาจากการที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางของประเทศหลักอื่น ๆ เข้มงวดในนโยบายการเงินมากขึ้น, ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้มีการปรับลดประมาณการกำไร, ราคาน้ำมันที่ต่ำลงจากการผลิตที่มากขึ้น และความเสี่ยงด้านการเมือง และการค้าทั้งในและต่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ