COTTO ตั้งเป้ารายได้ปี 62 โต 5-10% หลังควบรวมกิจการ-ขยายช่องทางจำหน่าย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 24, 2019 16:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 62 โต 5-10% จากการควบรวมธุรกิจ ทำให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า ประกอบกับบริษัทเน้นการสร้างแบรนด์หลักให้มีความน่าเชื่อถือเพื่อให้ลูกค้าไว้ใจอย่างต่อเนื่อง และสร้างการรับรู้ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักขยายทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน และบริษัทมีการขยายช่องทางการจำหน่ายอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะการขายผลิตภัณฑ์เข้าไปในงานโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งได้รับอานิสงส์ดีจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐ ทำให้มีงานก่อสร้างโครงการใหม่ ๆ มากขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทฯ เน้นการทำตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม CLMV โดยตั้งเป้าการส่งออกเติบโตมากกว่าในประเทศ จากปีก่อนมีสัดส่วนรายได้การส่งออกที่ 22%

นายนำพล กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนปี 62 ที่ระดับ 500-600 ล้านบาท โดยจะนำเงินราว 15-20% ของงบลงทุนใช้ขยายสาขาร้านคลังเซรามิค และใช้ในการปรับปรุงการผลิตให้สามารถลดต้นทุนได้ ซึ่งคาดว่าจะใช้แหล่งเงินทุนจากเงินสดภายในบริษัทและจากการกู้สถาบันการเงินในสัดส่วน 50:50

สำหรับกรณีที่บริษัทมีหนี้สินจำนวน 865 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทำให้ลดลงได้ หากสามารถดำเนินกิจการให้มีผลประกอบการตามแผน รวมถึงมีการใช้เงินลงทุนตามแผน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ระดับ 0.33 เท่า ส่วนการจ่ายเงินปันผลงวดปี 62 เบื้องต้นขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทและการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท

ทั้งนี้บริษัทคาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมเซรามิกปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมอยู่ราว 3 หมื่นล้านบาท โดยยังต้องติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะหลังการประกาศผลการเลือกตั้งว่าจะออกมาในรูปแบบใด แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าทุกรัฐบาลมีความสนใจในด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าปัจจุบันมีกำลังการผลิตส่วนเกินทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด (over supply) ซึ่งปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตที่ระดับ 70-80%

"ภาพรวมตลาดในปี 62 มีปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซรามิก ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่อาจทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของนักลงทุนภายในประเทศ"

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าในปี 2562 เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาจากการลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่สูงขึ้น จึงทำให้ความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องเซรามิกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย โดยมีปัจจัยบวกที่เป็นโอกาสดีของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มกระเบื้องปูพื้นและบุผนังจากโครงการ Mixed use หรือการก่อสร้างเพื่อการพาณิชยกรรมภายใต้แนวคิดการรวมกันของกลุ่มผู้อยู่อาศัยและกลุ่มการค้าเพื่อการพาณิชย์ ที่มีโครงการที่มูลค่าสูงกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งได้เริ่มทยอยก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวออกไปยังพื้นที่ในเมืองอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ

รวมทั้งนโยบายภาครัฐที่ต้องการสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยการปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้แก่ผู้ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ตลอดจนการปล่อยสินเชื่อพัฒนาโครงการให้แก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อก่อสร้างบ้าน รวมถึงโครงข่ายคมนาคมรถไฟฟ้าและมอเตอร์เวย์ที่ทำให้การเดินทางออกสู่ชานเมืองและต่างจังหวัดสะดวกขึ้น ยังช่วยสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์พื้นที่ชานเมือง ปริมณฑลและจังหวัดทางตะวันออก บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าปัจจัยบวกเหล่านี้จะส่งผลให้ภาพรวมของตลาดวัสดุก่อสร้างในปี 2562 มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น

สำหรับผลประกอบการในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 11,557 ล้านบาท ลดลงจากปี 2560 ร้อยละ 11 มีกำไรสุทธิรวมจำนวน 10 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 566 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสำคัญจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการออกจากงานด้วยความเห็นชอบร่วมกัน ค่าที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบการจัดการ และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท

ในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการส่งออก 2,534 ล้านบาท และรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน 1,833 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 มีรายได้จากการส่งออก 527 ล้านบาท คิดเป็น 20% ของยอดขายรวม ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีปริมาณขายในภูมิภาคอาเซียนคิดเป็นสัดส่วน 17% ของปริมาณขายรวม เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับสินทรัพย์รวมของ COTTO ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีมูลค่า 11,725 ล้านบาท

นายนำพล กล่าวว่า ถึงแม้ว่าไตรมาสที่ผ่านมาตลาดจะเติบโตขึ้น 1% จากราคาเกษตรที่สูงขึ้นและสัญญาณการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงแต่เมื่อมองในภาพรวมของทั้งปีจะเห็นว่าตลาดยังคงชะลอตัวอยู่ -2% ประกอบกับปัจจัยลบที่สำคัญคือต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการของ COTTO ในไตรมาส 4 และโดยรวมปี 2561 มีรายได้ลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ