(เพิ่มเติม) ORI ตั้งเป้าปี 62 ทำยอดขาย 2.8 หมื่นลบ.จากปีก่อน 2.75 หมื่นลบ.วางแผนเปิด 15 โครงการใหม่กว่า 2.6 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 28, 2019 18:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 62 ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 2.75 หมื่นล้านบาท โดยที่บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย แบรนด์"พาร์ค ออริจิ้น"จำนวน 3 โครงการในทำเลราชเทวี พระราม 4 และอีก 1 โครงการในย่าน New CBD มูลค่ารวมราว 9 พันล้านบาท

แบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) ซึ่งเป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ในระดับราคา 1.6-2.4 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าวัยเริ่มต้นทำงาน อายุ 24-28 ปีที่มีแนวคิดเปลี่ยนค่าเช่าเป็นทรัพย์สิน และซื้อคอนโดตามแนวรถไฟฟ้าในย่านส่วนต่อขยายธุรกิจ โดยจะเปิดแบรนด์ใหม่ 7 โครงการในย่านยอดนิยมสำหรับ New Gen ได้แก่ สุขุมวิท รัชดา ลาดพร้าว รามคำแหง และรามอินทรา มูลค่ารวม 9 พันล้านบาท

รวมทั้ง โครงการมิกซ์ยูสใหม่ Origin District Rayong มูลค่า 2 พันล้านบาท และแบรนด์บริทาเนีย 4 โครงการ มูลค่ารวมราว 6 พันล้านบาท

บริษัทยังตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 62 ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์ 1.7 หมื่นล้านบาท และรายได้อื่นๆอีก 2 พันล้านบาท ในส่วนของธุรกิจโรงแรมบริษัทคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ครั้งแรกในช่วงไตรมาส 4/62 คือ โรงแรม Staybridge Suites Bangkok Thonglor และโรงแรม Holiday Inn & Suites Sriracha ที่ก่อสร้างได้เร็วกว่าแผน และบริษัทยังมีแผนจะเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ทั้งโรงแรมในกรุงเทพฯ และมิกซ์ยูสครบวงจรแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง ที่จะมีการเติบโตสูงจากการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและ Smart Park ในมาบตาพุด ที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

นอกจากนี้ บริษัทยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง กับการเปิดตัว Brand Ambassador คนใหม่ คือ "ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์"ซุปตาร์แถวหน้าของเมืองไทยที่มี Character ความเป็น Romantic Comedy มาช่วยสะท้อนถึงบุคลิกแบรนด์ต่างๆ ในเครือออริจิ้น ขณะเดียวกัน จะตอกย้ำภาพเรื่อง Empathy ให้ผู้บริโภคได้เห็นทั้งเรื่อง Smart Products และ Excellent Services ชัดเจนมากขึ้น โดยจะมีโฆษณาตัวแรกขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.นี้

นายพีระพงศ์ กล่าวว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การเปิดโครงการให้อยู่ในระดับราคาที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าวัยเริ่มทำงานที่เป็นกลุ่ม New Demand ที่เป็นกลุ่มคนที่มีสัดส่วนมากในประเทศ และเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตมากที่สุด และเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของกลุ่มลูกค้านักลงทุนและกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตราการควบคุม LTV ทำให้บริษัทจึงปรับกลยุทธ์หันมารุกตลาดในกลุ่มคนวัยเริ่มทำงานที่ยังไม่มีหนี้สินและอยากมองหาที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่แพงมากนัก ทำให้พัฒนาแบรนด์ The Origin ในช่วงราคาขายเฉลี่ย 80,000-100,000 บาท/ตารางเมตร ที่มีช่องว่างทางการตลาดขึ้นมาทำตลาดแทนแบรนด์ Kensington และ Knightbridge ที่ราคาขายมากกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร และเป็นโครงการที่เน้นความทันสมัย มากกว่าการเป็นโครงการที่มีสไตล์อังกฤษ

*คาดตลาดอสังหาฯปี 62 หดตัว 10%จากพิษ LTV

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 62 นายพีระพงศ์ มองว่าจะหดตัว 10% จากมาตราการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำหรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเม.ย.62 ซึ่งทำให้บริษัทจะต้องปรับตัวโดยการหันมาระบายสต็อกคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาส 1/62 ก่อนที่จะมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในช่วงไตรมาส 2/62 เป็นต้นไป โดยที่ตั้งเป้าระบายสต็อกในไตรมาส 1/62 ที่ 3 พันล้านบาท จากสต็อกคอนโดมิเนียมที่มีอยู่ 7-8 พันล้านบาท และจะหันไปเปิดโครงการแนวราบแทนในไตรมาสแรกของปี 62 จำนวน 3 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขาย 3 โครงการแนวราบใหม่ในช่วงไตรมาส 1/62 ไว้ที่ 2 พันล้านบาท มากกว่าไตรมาสแรกของปี 61 ที่ทำได้ 1.1 พันล้านบาท

ขณะที่การซื้อที่ดินของบริษัทในปีนี้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 8,000-10,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ใช้ไป 8 พันล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทฺนในการซื้อที่ดินอยู่ระหว่างการพิจารณาออกหุ้นกู้มูลค่า 4 พันล้านบาท เพื่อมารองรับการซื้อที่ดิน ส่วนรายได้รวมในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท โดยที่รายจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายจะอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาราว 1.1 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 3.4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนการลงทุนโรงแรมใหม่อีก 2 แห่ง มูลค่ารวม 3.5 พันล้านบาท คือ โรงแรมในโครงการมิกซ์ยูส สุขุมวิท 59 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ที่จะใช้เชนบริหารจากอินเตอร์คอนติเนนตัลมาบริหาร ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 64 และโรงแรมในโครงการมิกส์ยูสที่ระยอง มูลค่า 2 พันล้านบาท กำหนดเปิดให้บริการในปี 65 อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการนำบริษัท พรีโม่ เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจให้บริการที่ครบวงจรเข้าตลาด ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน หากการทำงานเป็นไปตามแผนคาดว่าจะนำบริษัท พรีโม่ เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด เข้าตลาดได้ภายในปี 63 เพื่อนำเงินมาต่อยอดการขยายงานบริการที่มากขึ้น และรองรับงานที่จะเข้ามามากขึ้นในอนาคต โดยที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ของธุรกิจดังกล่าวในปีนี้ไว้ที่ 250 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 180 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ