SCC คาดบาทแข็งค่าขึ้นทุก 1 บ./ดอลลาร์ กระทบกำไรราว 2.5-2.6 พันลบ./ปี, หวังยอดขายโตกว่าตลาดอาเซียน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 18, 2019 17:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ (SCC) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า เอสซีจีวางกลยุทธ์รองรับความไม่แน่นอนของเทคโนโลยีและการแข่งขัน รวมถึงปัจจัยสงครามการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ โดยยังเน้นการขยายตลาดอาเซียนที่คาดหวังยอดขายปีนี้จะเติบโตได้มากกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนที่ 5-5.5% แต่เบื้องต้นยังมองยอดขายปีนี้จะเติบโตได้ราว 5% จาก 4.78 แสนล้านบาทในปีก่อน

ขณะที่ยังมีการบริหารความเสี่ยงทางการเงินบางส่วน เพื่อรับมือกับอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวน โดยเบื้องต้นประเมินว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท/ดอลลาร์ จะกระทบผลกำไรทั้งปีราว 2.5-2.6 พันล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่ 2 พันล้านบาท/ปี เนื่องจากพอร์ตเคมิคอลส์และรายได้ต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ ที่มาจากการส่งออกและการผลิตในต่างประเทศอยู่ที่ราว 45-55% ของรายได้เครือเอสซีจี

"อาเซียนยังเป็นตลาดหลักที่เราให้ความสำคัญและยังมีศักยภาพการเติบโตสูงมาก ธุรกิจของเราก็น่าจะโตไปพร้อมกับตลาดตรงนี้ได้ อาเซียนผลกระทบโดยรวมกับสงครามการค้าอเมริกากับจีน ผลกระทบกับอาเซียนก็ไม่ชัดเจนนัก...ตลาดเราคืออาเซียน GDP ของอาเซียนที่ผ่านมาเติบโต 5-5.5% target ของเราที่ดีควรจะมากกว่านี้"นายรุ่งโรจน์ กล่าว

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า เอสซีจีได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในอาเซียนต่อเนื่อง จากเดิมที่เคยอยู่ระดับ 40:50 มาอยู่ที่ 70:30 ในปัจจุบัน โดยในปีนี้วางงบลงทุนไว้กว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งประมาณ 70% เป็นการลงทุนอาเซียน โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่คือปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในเวียดนาม ซึ่งหากโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จในปี 66 จะทำให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็นราว 60% โดยโครงการดังกล่าวมีความคืบหน้าตามลำดับและเอสซีจียังเป็นผู้ดำเนินโครงการเพียงรายเดียว

ปัจจุบัน เอสซีจีมีการลงทุนเกือบครอบคลุมในทุกประเทศของอาเซียน ใน 3 ธุรกิจหลัก คือ เคมิคอลส์ ที่มีการลงทุนในประเทศหลัก ทั้งไทย เวียดนามและอินโดนีเซีย , บรรจุภัณฑ์ ที่ลงทุนในไทย เวียดนาม ฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ก็วางเป้าที่จะผลิตให้ครบวงจรในทุกประเทศ ,ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ลงทุนทั้งในไทย เมียนมา ลาว อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชา

ส่วนการลงทุนนอกเหนือจากอาเซียน ได้แก่ จีน ได้เข้าร่วมทุนในธุรกิจโลติสติกส์ และอินเดีย มีการส่งสินค้าไปจำหน่าย เพราะมีตลาดใหญ่ โดยยังไม่มีแผนเข้าไปลงทุนในขณะนี้

ทั้งนี้ กลยุทธ์ของเอสซีจียังเน้นให้ความสำคัญกับตลาดอาเซียน และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทั้งด้านสินค้าและบริการในรูปแบบโซลูชั่น เพื่อรองรับปัจจัยความไม่แน่นอนต่าง ๆ พร้อมกับเพิ่มความสำคัญด้านความมั่นคงทั้งด้านการเงิน การทำธุรกิจที่จะต้องบริหารความเสี่ยงควบคู่กับการดำเนินงานที่จะต้องมีการเติบโตด้วยเช่นกัน ซึ่งการเติบโตต้องดูโอกาสการค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง และเน้นทางด้านนวัตกรรม ตลอดจนทำเรื่องที่มีความเชี่ยวชาญอย่างการพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพการเติบโต (growth project) อย่างโครงการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ในประเทศ และโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยการลงทุนต่างๆ ของเอสซีจี ยังอยู่ภายใต้การเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับธุรกิจเคมิคอลส์ ซึ่งเป็นพอร์ตธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด ยังมีความท้าทายอยู่มากจากธุรกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงผันผวนตามทิศทางราคาน้ำมัน ซึ่งในปีนี้ก็จะมีกำลังผลิตเม็ดพลาสติกจากมาเลเซียเข้ามาในตลาดโลก 1.5-1.6 ล้านตัน ก็จะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ซึ่งระยะสั้นก็ต้องสร้างสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ของลูกค้า ขณะที่การลงทุนที่เป็น growth project ก็มั่นใจว่าจะบริหารการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการลดต้นทุนด้วยการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เพื่อใช้ในโรงงานของเครือเอสซีจีต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 33 เมกะวัตต์ จากที่มีอยู่ 50 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน และมีโอกาสที่จะขยายไปภายนอกเครือเอสซีจีด้วย

ธุรกิจซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้าง มีความท้าทายในด้านตลาด โดยตลาดในประเทศคาดว่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ซึ่งก็ต้องพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าและสร้างโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์การให้บริการแก่ลูกค้าตั้งแต่การติดตั้งและการบริการหลังการขายเพื่อเปิดโอกาสใหม่ๆในการขายสินค้ามากขึ้น ด้านธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีความแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ก็จะเน้นเรื่องการดีไซน์ที่ตอบโจทย์สินค้าเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าและบริการ

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า เอสซีจียังให้ความสนใจต่อธุรกิจไบโอพลาสติก และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพราะเป็นเทรนด์ของโลกในอนาคต แต่ก็ยังไม่ได้ศึกษาในรายละเอียดมากนัก เพราะยังเชื่อว่าการผลิตเม็ดพลาสติกยังมีความต้องการอยู่มาก แต่อาจจะเป็นการปรับลดลงในบางประเภทแต่ก็มีการเพิ่มขึ้นในบางประเภทเช่นเดียวกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ