MINT กางแผน 5 ปี(62-66) รายได้โตเฉลี่ย 10% ต่อปี-ตั้งงบลงทุนปีนี้ 1-1.5 หมื่นลบ. ขยายโรงแรมตปท.-ธุรกิจร้านอาหาร

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 7, 2019 18:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่การเงินส่วนกลางและฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) กล่าวว่า บริษัทวางแผน 5 ปี (2562-2566) โดยมีเป้าหมายรายได้จะเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี ตามแผนขยายธุรกิจโรงแรมในเครือข่ายต่างประเทศ และธุรกิจอาหาร โดยภายหลังจากเข้าซื้อกิจการ NH Hotel ไปในปลายปีที่แล้ว ทำให้บริษัทมีเครือข่ายโรงแรมใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 19 จากเดิมอันดับ 68 ซึ่งบริษัทมีแผนขยายกิจการในต่างประเทศมากขึ้น คาดว่าโครงสร้างรายได้ในต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 72% จากเดิม 61% และในประเทศลดลงเป็น 28% จากเดิม 39% ทั้งนี้ มีเป้าหมายให้ทั้ง 2 ธุรกิจเติบโตไปด้วยกันจากปัจจุบันธุรกิจโรงแรมมีสัดส่วน 75% และธุรกิจอาหาร 25% ของรายได้รวม

สำหรับแผนขยายกิจการในปีนี้ บริษัทวางงบลงทุนที่ 1-1.5 หมื่นล้านบาท โดยไปเน้นขยายพอร์ตธุรกิจโรงแรม แบ่งเป็นเป็นเจ้าของโรงแรมใหม่เพิ่ม 7 แห่ง และรับจ้างบริหารเพิ่ม 27 แห่ง ส่งผลให้จำนวนโรงแรมในพอร์ตทั้งปีเพิ่มเป็น 547 แห่ง และจำนวนห้องพักเพิ่มเป็น 81,000 ห้องจากสิ้นปี 61 อยู่ที่ 75,241 ห้อง ขณะที่พอร์ตธุรกิจอาหาร อยู่ระหว่างมองหาโอกาสการลงทุนต่อเนื่อง เพราะมองเห็นโอกาสการเติบโตในปีนี้ โดยเบื้องต้นคาดว่ายอดขายสาขาเดิม จะสามารถเติบโตเฉลี่ย 2% จากเดิมลบ 3% และวางเป้าเพิ่มจำนวนสาขาอีก 8-10% จากสิ้นปีก่อนมี 2,270 สาขา

ผู้บริหาร MINT ยอมรับว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/62 อาจมีทิศทางทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน เนื่องจากธุรกิจ NH Hotel เป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่ภาพรวมธุรกิจ NH Hotel จะพลิกกลับมาเป็นไฮซีซั่นตั้งแต่ไตรมาส 2/62 เป็นต้นไป ทำให้คาดทิศทางรายได้และกำไรในไตรมาส 2/62 จะเติบโตแบบก้าวกระโดด และสิ้นปีนี้มีโอกาสสูงที่รายได้ของบริษัทจะเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน

ส่วนแผนการลดหนี้จากการเข้าซื้อธุรกิจ NH Hotel มูลค่า 8.8 หมื่นล้านบาทนั้น โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ออกหุ้นกู้ระยะยาวไปแล้ว 3.3 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 5.5 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างพิจารณาออกหุ้นกู้ หรือ กู้เงินจากสถาบันการเงิน และระดมทุนผ่านเครื่องมือฝั่งตลาดทุน เช่น การขายสินทรัพย์บางส่วนในโรงแรม Tivoli ในโปรตุเกส โดยรูปแบบอาจเป็นลักษณะขายเข้ากองทุนฯ ,ขายสินทรัพย์ไปแล้วค่อยเข้าไปเช่าคืน เป็นต้น

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.53 เท่า คิดเป็นมูลค่าหนี้รวมทั้งหมด 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากผลประกอบการบริษัทกลับมาเติบโตได้อย่างเด่นชัด ประกอบกับระดมทุนในรูปแบบอื่นๆ เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน น่าจะช่วยให้ D/E สามารถลดลงได้ตามเป้าเหลือ 1.3 เท่าในช่วงสิ้นปีนี้ ส่งผลให้ฐานะทางการเงินกลับมาแข็งแกร่ง พร้อมขยายกิจการในรูปแบบเข้าซื้อกิจการได้ต่อไป หากมีโอกาสในอนาคต เบื้องต้นวางเป้าหมายผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ในการเข้าซื้อกิจการแต่ละครั้งนั้นต้องไม่ต่ำกว่า 10%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ