ทริสเรทติ้งจัดอันเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ 1 พันลบ.ของ LPNที่ "A-" แนวโน้ม "คงที่"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 11, 2019 10:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) ที่ระดับ "A-" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นและใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินงาน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่ผ่านการพิสูจน์แล้วด้วยแบรนด์สินค้าที่เป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดีในตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคาปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารงานก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ และนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง

นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทมีสินค้าที่ไม่หลากหลายทั้งในแง่ของประเภทและระดับราคา ตลอดจนความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผลกระทบจากเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูงที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางด้วย

รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ระหว่าง 13,000-17,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2555-2559 รายได้ของบริษัทในปี 2560 ลดลงอย่างมากเหลือ 9,648 ล้านบาทจากผลของตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวและอัตราการปฏิเสธการให้สินเชื่อของธนาคารที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเติบโต 17% โดยอยู่ที่ 11,294 ล้านบาทในปี 2561 รายได้จากคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทคิดเป็น 80%-90% ของรายได้จากการดำเนินงานรวม ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2562-2564 จะอยู่ในช่วง 12,000 ล้านบาทถึง 15,000 ล้านบาทต่อปี

ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีโครงการระหว่างการพัฒนาจำนวน 45 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) 18,000 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมมีสัดส่วนคิดเป็น 84% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นโครงการแนวราบ ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาทซึ่งจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าในช่วงปี 2562-2563

อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับ 19%-20% ในช่วงปี 2557-2559 และลดลงไปอยู่ที่ระดับ 15%-16% ในช่วงปี 2560-2561 เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้ลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว อัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ระดับ 14%-16% ในช่วงปี 2557-2559 แต่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 11%-12% ในช่วงปี 2560-2561 ถึงแม้ว่าจะลดลง แต่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทก็ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 10% ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคตอาจได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยรายใหญ่และจากต้นทุนค่าที่ดินที่แพงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทควรรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานเอาไว้ให้ได้ที่ระดับประมาณ 15% และอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่า 10% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทค่อนข้างต่ำกว่าผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รายอื่น ๆ ที่เน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับต่ำกว่า 35% หรือมีอัตราส่วนหนี้สินที่เป็นภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนต่ำกว่า 0.6 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงมีเพียงพอ โดย ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินสดและเงินฝากธนาคารจำนวน 388 ล้านบาท รวมทั้งมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกจำนวน 3,900 ล้านบาท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3,246 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยตั๋วแลกเงินระยะสั้น ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น และโอเวอร์ดร๊าฟสำหรับซื้อที่ดินและใช้ในการดำเนินงานจำนวน 2,629 ล้านบาท รวมถึงหุ้นกู้จำนวน 610 ล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่าการเงินอีกจำนวน 7 ล้านบาท

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยที่บริษัทน่าจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ได้ตามแผน แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นในตลาดที่อยู่อาศัย แต่รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 12,000-15,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 15% การที่บริษัทจะมีการขยายธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้าทำให้คาดว่าหนี้สินทางการเงินของบริษัทอาจจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเอาไว้ได้ที่ระดับประมาณ 40%-45% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ระดับ 12%-15%

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรไปยังตลาดอื่น ๆ ได้ในขณะที่ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรและภาระหนี้สินทางการเงินเอาไว้ได้ในระดับปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทแตกต่างไปจากระดับเป้าหมายในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานในระดับหนึ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ