โกลเบล็ก จับตาทุนจีนไหลมาไทยหนีผลสงครามการค้า มองแนวโน้ม SET ยังผันผวนแนะลงทุนหุ้นเข้า FTSE

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 12, 2019 14:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากความหวังในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยกระทรวงพาณิชย์จีนเชื่อว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนยังมีความหวังในการหารือและคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการแก้ปัญหาขัดแย้งทางการค้าระหว่างกันได้

และจีนยืนยันว่าจะไม่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเพื่อหนุนการส่งออก และจะพยายามรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้อยู่ในระดับสมดุล รวมทั้งจีนมีแนวโน้มขยายฐานการลงทุนมาตั้งโรงงานในไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่มีการส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า ผลิตสินค้าป้อนตลาดไทยและส่งออกไปขายต่างประเทศทั่วโลก

ส่วนปัจจัยลบที่คาดว่าส่งผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ อาทิ กรณีที่สหรัฐรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน ก.พ.62 เพิ่มขึ้นเพียง 20,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 180,000 ตำแหน่ง ทำให้มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมของบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนมูลค่า 8.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 5.7 พันล้านดอลลาร์จากที่เคยขอไว้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นงบสำหรับปีงบประมาณ 2563 ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค.62 และรัฐสภาต้องผ่านงบประมาณก่อนถึงวันดังกล่าว รวมทั้งค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกและถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

อีกทั้งยังคงต้องจับตาปัจจัย เช่น นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เตรียมแถลงปิดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ประธานาธิบดีทรัมป์ เตรียมแถลงนโยบายประจำปี 63 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เตรียมประชุมนโยบายการเงินและลงมติอัตราดอกเบี้ย ซึ่งในวันที่ 12 มี.ค.จีนจะเปิดเผยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เดือน ก.พ.62 และรัฐสภาอังกฤษมีกำหนดลงมติต่อข้อตกลง Brexit ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นอกจากนี้สหรัฐจะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ.

และในวันที่ 13 มี.ค.62 อียูจะเปิดเผยตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค.62 และสหรัฐ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต(PPI) เดือนก.พ.62 ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ม.ค.62 การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือน ม.ค.62 และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ส่วนวันที่ 14 มี.ค. จีนจะเปิดเผยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีกเดือนม.ค.-ก.พ.62 และยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือน ก.พ.62 ส่วนสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือน ก.พ.62 และยอดขายบ้านใหม่เดือน ม.ค.62

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย GBS กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวน โดยคาดดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,610-1,660 จุด จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่เข้าคำนวณ FTSE มีผลตั้งแต่ 15 มี.ค.62 FTSE Large Cap เช่น HMPRO, GULF, EA, MINT, MAKRO, BEM, DIF และ FTSE Mid Cap ได้แก่ MTC และ GPSC (HMPRO MTC ราคาหุ้นขึ้น YTD น้อยกว่าดัชนี SET)

รวมทั้งหุ้นที่ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อการเติบโตของธุรกิจหลังเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ เช่น หุ้น PRM (รายได้และกำไรปีนี้มีแนวโน้มเติบโตจากฐานที่ต่ำในปีที่ผ่านมา) หุ้น XO (อัตรากำไรสุทธิมีโอกาสเติบโตสูงกว่าการเติบโตของรายได้ คงประมาณกำไรปี 62 ราว 247 ล้านบาท เติบโต 11%จากปีก่อน หุ้น CAZ (การเติบโตของรายได้ในอนาคตจะทำให้อัตราการทำกำไรปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากค่าใช้จ่ายขายและบริหารส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่) และหุ้น WHA (หุ้นแนะนำใน theme EEC เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ 9 แห่งจากทั้งหมด 11 แห่งอยู่ในพื้นที่ EEC)

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,300 ดอลลาร์ จากความกังวลของนักลงทุนในตลาดที่ปรับพอร์ตโยกเม็ดเงินบางส่วนกลับเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากที่ทางการจีนประกาศยอดการส่งออกหดตัวลงอย่างมากและปรับลดคาดการณ์ GDP ในปีนี้ลงเหลือ 6.0–6.5% เช่นเดียวกับฝั่งยุโรปที่ ECB เพิ่งประกาศปรับลดคาดการณ์ GDP ในปีนี้ลงจาก 1.7% เหลือ 1.1% และเปิดโครงการสนับสนุนเงินสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์

สัปดาห์นี้การโหวตรับรองแผน Brexit ของสภาอังกฤษจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางของตลาดเงิน แต่ผลโหวตถูกคาดหมายไว้ที่ความล้มเหลวอีกครั้ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเส้นตายวันที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการจะถูกเลื่อนออกไปอีกราวกลางปีนี้ ทำให้เงินปอนด์ยังคงดิ่งลง สกุลยูโรและราคาโลหะมีค่าจึงถูกกดดันตามไปด้วย จึงต้องดูว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นมายืนเหนือ 1,300 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ได้หรือไม่ ซึ่งจะเป็นฐานสนับสนุนให้รีบาวด์ขึ้นต่อได้ในระยะถัดไป

ส่วนเงินบาทที่แกว่งผันผวน คาดว่าจะไม่มีผลบวกหรือลบต่อราคาทองคำในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ กลยุทธ์การลงทุนทางเทคนิคมองโอกาสดีดตัวต่อเนื่องได้ถึง 1,320–1,325 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ถ้าราคาทองคำสามารถผ่านระดับ 1,300 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ขึ้นมา แนะนำซื้อเก็งกำไรเพื่อเล่นรอบรีบาวด์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ