SHREIT เล็งเข้าซื้อโรงแรมในเวียดนาม 2-3 แห่งสรุป H2/62 เตรียมเพิ่มทุนรองรับ,ตั้งเป้า 3-5 ปีสินทรัพย์แตะ 1พันล้านเหรียญฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 18, 2019 14:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่าสตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้ (SHREIT) เปิดเผยว่า กองทรัสต์ SHREIT คาดว่าจะเข้าซื้อกิจการโรงแรมในเวียดนามเพิ่มเข้ามาอีก 2-3 แห่งในปีนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้พัฒนาอสังริมทรัพย์ในประเทศเวียดนามอยู่ 3 ราย ซึ่งมีโรงแรมที่พัฒนาแล้วกระจายอยู่ในเมืองต่างๆ เวียดนาม

ทั้งนี้เพื่อรองรับแผนเข้าซื้อโรงแรมใหม่เพิ่มเข้ามานั้น กองทรัสต์จะต้องมีการเพิ่มทุนอีก 100-150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบกับจะมีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเข้ามาสนับสนุนการลงทุนในครั้งนี้ด้วย โดยคาดดีลการเข้าซื้อโรงแรมใหม่ในครั้งนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งกระบวนการเพิ่มทุนและเข้าซื้อสินทรัพย์จะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 และหลังจากที่กองทรัสต์เข้าซื้อโรงแรมดังกล่าวแล้วเสร็จจะทำให้สิ้นปี 62 มีมูลค่าสินทรัพย์รวมแตะ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือแตะ 1 หมื่นล้านบาท

นายคริสตอป ฟอซิเนสติ กรรมการบริหาร บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์การเข้าลงทุนสินทรัพย์ใหม่ของกองทรัสต์ SHREIT จะเปลี่ยนเป็นการหันไปเน้นการเจรจากับเจ้าของหรือผู้พัฒนาโรงแรมที่มีแผนการพัฒนาโรงแรมใหม่ๆเพิ่มเติม หรือการเจรจากับเชนบริหารที่เป็นแบรนด์ระดับโลกซึ่งมีการลงทุนโรงแรมต่างๆในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทจะมีแผนการซื้อสินทรัพย์ที่แน่นอนและมีโครงการต่างๆที่อยู่ในไปป์ไลน์เพื่อเตรียมการเข้าลงทุนในอนาคต ทำให้การวยายขนาดของสินทรัพย์ที่กองทรัสต์ลงทุนเป็นไปตามแผน และไม่ต้องเสียเวลาที่จะต้องไปทำดีลกับเจ้าของโรงแรมรายอื่นใหม่อีกครั้ง

การลงทุนโรงแรมของกองทรัสต์ SHREIT ยังคงลงทุนโรงแรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก เพราะเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตที่ดี จากระดับรายได้ของชนชั้นกลางในเอเชียที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้บริการโรงแรมที่พักมีจำนวนมากขึ้น ขณะเดียวกันในแถบอาเซียน หากไม่นับประเทศไทยและสิงคโปร์ โรงแรมที่ได้มาตรฐานในระดับสากลยังมีจำนวนจำกัด

อีกทั้งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีความต้องการใช้เงินทุนอย่างมากในการต่อยอดการพัฒนาโครงการใหม่ๆต่อ ซึ่งปัจจุบันการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือว่บเข้าถึงได้ยาก โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม กัมพูชา และลาว ซึ่งยังมีการพัฒนาทางด้านตลาดเงินและตลาดทุนที่ยังไม่ดี เมื่อเทียบกับประเทศไทย และถือว่ามีต้นทุนในการลงทุนที่สูงกว่า จึงถือเป็นโอกาสของกองทรัสต์จะเข้าไปช่วยสนับสนุนด้านการเงินและต่อยอดการลงทุนของผู้พัฒนาอสทงหาริททรัพย์ในประเทศเหล่านั้น และเป็นโอกาสในการเข้าซื้อโรงแรมของผู้พัฒนานั้นๆได้ต่อไป

สำหรับประเทศที่กองทรัสต์มุ่งเน้นลงทุนเป็นหลักในช่วงนี้จะเป็นประเทศเวียดนาม เพราะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงและเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีนักลงทุนต่างๆ เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีการเปิดเส้นทางการบินในเมืองต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้ภาคการท่องเที่ยวของเวียดนามกระจายไปตามเมืองต่างๆมากขึ้น และในประเทศเวียดนามมีผู้พัฒนาโรงแรมที่เป็นจำของโรงแรมในเมืองต่างๆอยู่มากมาย ทำให้มีความสนใจที่จะเข้าไปเจรจากับผู้พัฒนาโครงการในประเทศเวียดนามที่มีโรงแรมหลากหลายสร้างไปป์ไลน์ที่ชัดเจนให้กับการลงทุนซื้อโรงแรมเข้ามาเพิ่มในอนาคต

นายปธาน กล่าวต่อว่า การเข้าลงทุนซื้อโรงแรมใหม่ๆเข้ามาในช่วง 3-5 ปีนี้ ในเบื้องต้นคาดว่าจะต้องเพิ่มทุนเฉลี่ย 100-150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี เพื่อรองรับการลงทุน ซึ่งได้ตั้งเป้าว่ามูลค่าสินทรัพย์ของกองทรัสต์ SHREIT ในช่วง 3-5 ปี คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 143.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเข้าซื้อสินทรัพย์ใหม่ทุกปีเพื่อขยายมูลค่าสินทรัพย์ และเป็นการสร้างการเติบโตให้กับกองทรัสต์ รวมไปถึงการสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นให้กับผู้ถือหน่วยและเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทรัสต์

โดยที่ผลตอบแทนของกองทรัสต์ SHREIT ณ ราคาหน่วยบนกระดานในปัจจุบัน ถือว่าให้ผลตอบเฉลี่ย 10% สูงกว่ากองทรัสต์อื่นๆในตลาด ซึ่งในปี 61 กองทรัสต์ได้จ่ายเงินปันผลไป 3 ไตรมาส รวม 0.60 บาท/หน่วย ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกวทา 6% แต่ในไตรมาส 4/61 ได้งดการจ่ายเงินปันผลไป จากความผันผวนของตลาดทุนทั่วโลกในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ทำให้ต้องเพิกถอนการเข้าซื้อทรัพย์สินในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งโรงแรมในอินโดนีเณียและมาเลเซีย จะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน และมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นที่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ได้กลับมาเป็นปกติแล้วทำให้คาดว่าจะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ในไตรมาส 1/62

ส่วนสินทรัพย์ที่กองทรัสต์เข้าลงทุนในปัจจุบันมีอยู่ 3 โรงแรม ได้แก่ โรงแรม Pullman Jakarta Central Park ในกรุงจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 317 ห้อง โรงแรม Capri by Fraser ระดับ 4 ดาว โดยมีห้องพักจำนวน 175 ห้อง และโรงแรม IBIS Saigon South ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว จำนวน 140 ห้อง ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งมีผลการดำเนินงานในแต่ละโรงแรมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรม IBIS Saigon South ที่มีผลการดำเนินงานที่เติบโตโดดเด่นที่สุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ