TOP เดินหน้าโครงการ CFP เริ่มก่อสร้างกลางปีนี้ พร้อมปรับปรุงโรงกลั่น รองรับเกณฑ์ใหม่ IMO ,คาดกำไรสต็อกน้ำมันใน Q1/62

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 10, 2019 13:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ไทยออยล์ (TOP ) เปิดเผยว่า การที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% จาก 3.5% ในปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 นั้น บริษัทมีแผนปรับตัวด้วยการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปที่มีกำมะถันต่ำลดลง โดยจะดำเนินการโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project :CFP) มูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบ และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างกลางปีนี้ แล้วเสร็จในปลายปี 65 และเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 66

ทั้งนี้ ภายหลังโครงการ CFP แล้วเสร็จจะไม่มีผลผลิตน้ำมันเตาที่มีมาร์จิ้นต่ำออกมาเลยจากปัจจุบันที่มีน้ำมันเตาอยู่ราว 7% ขณะที่น้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซล จะเพิ่มเป็น 70% จากเดิม 60% ส่วนน้ำมันเบนซินจะมีสัดส่วนลดลงจากปัจจุบันอยู่ที่ 15%

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างปีนี้ถึงปลายปี 65 ก่อนโครงการ CFP แล้วเสร็จ บริษัทจะปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันเพื่อให้มีการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปกำมะถันต่ำคู่ขนานกันไปด้วย รวมถึงจะมีการปรับการนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อปรับสัดส่วนการผลิตน้ำมัน ทำให้มีปริมาณน้ำมันเตาออกมาไม่มากอย่างในปัจจุบันเพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันเตากำมะถันสูงที่อาจจะมีราคาลดลงจากเกณฑ์ใหม่ของ IMO แต่ขณะเดียวกันการที่บริษัทกลั่นน้ำมันดีเซลได้ในปริมาณที่มากก็จะได้ประโยชน์จากราคาดีเซลที่คาดว่าจะสูงขึ้นจากความต้องการใช้ที่มากขึ้นเพราะจะมีการนำไปผสมกับน้ำมันเตาเพื่อลดค่ากำมะถันดังกล่าว

สำหรับการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ในวันนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการขายทรัพย์สินเพื่อโอนกรรมสิทธิ์หน่วยผลิตพลังงาน (Energy Recovery Unit:ERU) ในโครงการ CFP ให้กับบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มีมูลค่าเทียบเท่าทั้งสิ้นไม่เกิน 757 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะดำเนินการโอนได้ในช่วงไตรมาส 3/66 โดยการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ลดภาระเงินลงทุนในโครงการ CFP ,เพิ่มสภาพคล่องเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต และยังทำให้ช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทนการลงทุนเป็น 12.57% จากแผนเดิมที่ 12.1% โดยการดำเนินดังกล่าวจะทำให้มูลค่าเงินลงทุนตามโครงการ CFP จะอยู่ที่ 4.07 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่ 4.83 พันล้านเหรียญสหรัฐ

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี ของ TOP กล่าวว่า การจะโอนหน่วย ERU ให้ GPSC จะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินการลงทุนเนื่องจากการลงทุนโครงการ CFP นับเป็นการลงทุนที่มากที่สุดของบริษัท ขณะที่บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ราว 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ทำให้อาจต้องมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่ม ซึ่งอาจจะกระทบต่อการจัดอันดับเครดิต แต่การตัดหน่วย ERU ให้กับ GPSC ทำให้ลดภาระทางการเงินและลดผลกระทบจากการจัดทำอันดับเครดิตได้ส่วนหนึ่งด้วย

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 คาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันหลังราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยเดือนมี.ค. ซึ่งจะใช้เป็นราคาปิดสิ้นไตรมาสนั้น มีราคาปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 67 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับปิดสิ้นปี 61 ที่อยู่ระดับ 57 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ส่วนผลกระทบตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายในไตรมาส 2/62 บริษัทก็จะต้องมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานในไตรมาสนี้เป็นจำนวนราว 300 ล้านบาท จากพนักงานของกลุ่มที่มีอยู่ที่ทั้งหมดราว 1,400 คน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ