ทริสฯ ปรับลดอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ CFRESH เป็น "BBB-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 10, 2019 15:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. ซีเฟรชอินดัสตรี (CFRESH) เป็นระดับ "BBB-" จากระดับ "BBB" โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องของบริษัทซึ่งเกิดจากอุตสาหกรรมกุ้งที่อยู่ในช่วงวงจรขาลงที่ยาวนานและค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งขึ้น

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางในอุตสาหกรรมกุ้งแปรรูปในประเทศไทย นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงกลยุทธ์ที่บริษัทจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลขั้นสูงสุดทั้งในด้านความปลอดภัยของอาหารและการตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทานด้วย ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทพึ่งพาสินค้ากุ้งเพียงประเภทเดียว ในขณะเดียวกันบริษัทยังเผชิญกับความผันผวนและสภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรง รวมถึงความเสี่ยงจากโรคระบาด ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่มีผลต่อการกีดกันทางการค้า

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

วงจรขาลงของอุตสาหกรรมกุ้งทำให้กำไรลดลง อุตสาหกรรมกุ้งอยู่ในช่วงวงจรขาลงส่งผลกดดันต่อผลการดำเนินงานของบริษัท ผลผลิตกุ้งในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากประเทศผู้ส่งออกหลัก โดยเฉพาะประเทศอินเดียและเอกวาดอร์ทำให้ราคากุ้งในตลาดโลกปี 2561 ปรับตัวลดลง

เนื่องจาก 85% ของรายได้รวมของบริษัทเป็นรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ 33% ของผลผลิตรวมของบริษัทผลิตจากฐานการผลิตภายในประเทศ ดังนั้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอยู่บางส่วน การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินปอนด์สเตอร์ลิงส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นอย่างมาก โดยในปี 2561 มูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินปอนด์สเตอร์ลิงลดลง 5% และ 1% ตามลำดับเมื่อเทียบกับเงินบาท อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของบริษัทบางส่วนก็ลดทอนลงจากการที่ใช้สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า

บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงเหลือ 358-440 ล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2560-2561 จาก 726-834 ล้านบาทในช่วงปี 2557-2559 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงปี 2562-2564 จากราคากุ้งหน้าฟาร์มที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับในช่วงเวลาเดียวกันและผลผลิตกุ้งของประเทศผู้ส่งออกหลักอื่น ๆ ในตลาดโลกที่ปรับลดลง

ความท้าทายจากการมีลูกค้าหลักจำนวนจำกัด รายได้รวมของบริษัทส่วนใหญ่มาจากตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดจากการกระจุกตัวของรายได้ ทริสเรทติ้งคาดว่าในปี 2562 รายได้รวมของบริษัทจะลดลงไป 24% เนื่องจากตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 บริษัทเริ่มมีการลดสัดส่วนลูกค้าที่สร้างกำไรระดับต่ำออกไป อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงปี 2563-2564 โดยบริษัทมีความพยายามที่จะกระจายฐานรายได้ของกิจการไปยังประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชียเพื่อที่จะลดความเสี่ยงดังกล่าว นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังมีความพยายามในการสร้างสินค้ามูลค่าเพิ่มเพื่อที่จะลดความเสี่ยงด้านราคาอีกด้วยเช่นกัน

ความไม่แน่นอนของกิจการร่วมค้า บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศโดยการลงทุนในกิจการร่วมค้าในธุรกิจกุ้งครบวงจรในนาม Belize Aquaculture Ltd. (BAL) (บริษัทถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมรวมทั้งสิ้น 34%) ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคอเมริกากลางตั้งแต่ปี 2555 โดยในปี 2561 BAL มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้บันทึกส่วนแบ่งขาดทุนดังกล่าวเนื่องจากผลขาดทุนสะสมจากกิจการร่วมค้าสูงกว่าเงินลงทุน

ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมียอดหนี้คงเหลือกับกิจการร่วมค้า BAL รวมทั้งสิ้น 777 ล้านบาทซึ่งรวมลูกหนี้ค้างชำระอื่น ๆ มูลค่า 378 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างรับจำนวน 72 ล้านบาท และเงินให้กู้ยืมระหว่างบริษัทอีกจำนวน 327 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่ากิจการร่วมค้า BAL จะถูกจำหน่ายสินทรัพย์หลักของตนออกไปและนำเงินที่ได้มาจ่ายคืนหนี้สินให้แก่บริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจากการประเมินของผู้ประเมินราคาอิสระเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 สินทรัพย์ของ BAL มีมูลค่าอยู่ประมาณ 51.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเท่ากับ 1,663 ล้านบาท

มีประสบการณ์ที่ยาวนานในอุตสาหกรรมกุ้งแปรรูป บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมาในฐานะผู้แปรรูปและผู้ส่งออกกุ้ง รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น เป็น 7,932 ล้านบาทในปี 2561 จาก 1,760 ล้านบาทในปี 2551 หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ 16% บริษัทมีฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับการรับรองจากองค์กรระหว่างประเทศหลายสถาบันทั้งในด้านความปลอดภัยของอาหาร การตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทาน และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น สินค้าของบริษัทจึงได้มาตรฐานสำหรับการจำหน่ายในห้างค้าปลีกชั้นนำทั่วโลก

ความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่น้อยลงส่งผลทำให้ภาระหนี้ของบริษัทปรับตัวลดลง ระดับสินค้าคงคลังของบริษัทลดลงเหลือ 94 วันในปี 2561 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 130 วันในช่วงปี 2558-2560 ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจึงปรับตัวลดลงเช่นกันโดยอยู่ที่ระดับ 49.5% ในปี 2561 จาก 53.5% ในปี 2560 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงใช้เงินลงทุนในระดับที่สูงจำนวน 458 ล้านบาทในปี 2561 เมื่อเทียบกับจำนวน 147-224 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2558-2560 ในอนาคตคาดว่าเงินลงทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่จำนวน 350 ล้านบาทในปี 2562 แต่จะลดลงเหลือ 120-150 ล้านบาทในช่วงปี 2563-2564 ดังนั้น จึงคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวลดลง และจะมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 6-9 เท่า

กระแสเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้จะปรับตัวดีขึ้น อุตสาหกรรมกุ้งในประเทศไทยกำลังฟื้นตัวจากโรคระบาดในกุ้ง การฟื้นตัวจากโรคระบาดดังกล่าวจะช่วยทำให้ปริมาณผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นและต้นทุนกุ้งก็คาดว่าจะปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลทำให้เงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วยในระยะยาว ภายใต้สมมติฐานของ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ในระดับ 17%-26% ในปี 2562-2564 และคาดว่าบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับประมาณ 450-550 ล้านบาทต่อปี

สภาพคล่องของบริษัทจะยังคงเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 69 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อยู่จำนวน 2,425 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระอยู่ที่ 120-500 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปีการเงิน 2562-2564

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

รายได้ของบริษัทจะปรับตัวลดลงประมาณ 24% ในปี 2562 และจะเติบโตที่ประมาณ 5%-10% ต่อปีในช่วงปี 2563-2564

อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในช่วงระหว่าง 12%-13% และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 7%-8%

ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 350 ล้านบาทในปี 2562 และ 120-150 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันและสถานะทางการตลาดในธุรกิจกุ้งได้ต่อไป ทั้งนี้ ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงมีปัจจัยสนับสนุนจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับปานกลางและความสามารถในการชำระหนี้ที่เพียงพอ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากผลการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฟื้นตัวเป็นระยะเวลานาน ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ