โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ปตท.(PTT) จากแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/62 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากไตรมาส 4/61 จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นหนุนให้พลิกมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน ขณะที่กำไรปกติยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของ PTTEP ที่จะดีขึ้น
ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปี คาดการณ์ว่าส่วนต่าง (สเปรด) น้ำมันดีเซลและน้ำมันดิบจะสูงขึ้น จากอุปสงค์น้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นก่อนที่เกณฑ์ใหม่ของ IMO จะมีผลบังคับใช้ในต้นปี 63 จะเข้าช่วยชดเชยสเปรดของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลง อีกทั้งราคาน้ำมันที่มีเสถียรภาพดีกว่าปีก่อนจะช่วยรักษามาร์จิ้นของธุรกิจน้ำมันได้ดีขึ้นด้วย
นอกจากนี้ PTT ยังเป็นหุ้น Defensive และยังมีประเด็นบวกจากแผนการนำบมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR) เข้าตลาดหุ้น แม้อาจจะยังมีความล่าช้าอยู่บ้างก็ตาม รวมถึงคาดว่า MSCI จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น PTT หลังปรับเกณฑ์การคำนวณใหมี่ที่คาดว่าจะประกาศใช้กลางเดือน พ.ค. และมีผลบังคับใช้ปลายเดือน พ.ค. ซึ่งทำให้หุ้น PTT มีความน่าสนใจการลงทุน หลังจากที่ราคาหุ้นในรอบเดือนที่ผ่านมาไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก
หุ้น PTT อยู่ที่ 48.75 บาทเมื่อเวลา 14.38 น.ไม่เปลี่ยนแปลงจากวานนี้ ขณะที่ SET +0.20%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 55.00 ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีฯ ซื้อ 55.50 เอเชีย เวลท์ ซื้อ 58.00 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 53.00 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 57.00 เคที ซีมิโก้ ซื้อ 56.00 บัวหลวง ซื้อ 60.00 เอเซีย พลัส ซื้อ 56.00นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของ PTT ในไตรมาส 1/62 ดีขึ้นจากไตรมาส 4/61 หลังราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมากจากสิ้นปี 61 จะทำให้ PTT ไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกเหมือนไตรมาสก่อน รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทลูกในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่ดีขึ้นจากที่ไม่มีผลขาดทุนสต็อกเข้ามาชดเชยมาร์จิ้นของธุรกิจที่อ่อนตัวลง ส่วนผลการดำเนินงานของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) จะได้รับผลบวกบางส่วนจากราคาขายปิโตรเลียมที่อิงกับราคาน้ำมัน ขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมส่วนใหญ่เป็นก๊าซธรรมชาติ
ผลการดำเนินงานปกติของ PTT ยังคงอ่อนแอในครึ่งแรกปีนี้ที่ได้รับผลกระทบจากค่าการกลั่น (GRM) อ่อนตัวหลังมีภาวะ Oversupply ของน้ำมันเบนซินในตลาดโลก แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะดีขึ้น จากการที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% จาก 3.5% ในปัจจุบันตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 คาดว่าจะทำให้เกิดอุปสงค์การใช้น้ำมันดีเซลเพื่อมาผสมในน้ำมันเตาเพื่อลดค่ากำมะถัน หรือการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อทดแทนมากขึ้น กรณีดังกล่าวก็จะทำให้สเปรดดีเซลสูงขึ้นจากระดับปกติอยู่ที่ 15-20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจะส่งผลบวกต่อธุรกิจโรงกลั่นของกลุ่ม PTT ที่ส่วนใหญ่ผลิตน้ำมันดีเซลได้ในสัดส่วนที่มาก ก็จะผลักดันให้ GRM รวมปรับตัวดีขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ประเมินว่ากำไรปกติของ PTT ในปีนี้จะเติบโต 8.6% จากปีก่อน หลังมาร์จิ้นธุรกิจน้ำมันจะดีขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่จะมีเสถียรภาพมากกว่าปีที่แล้วที่ราคาน้ำมันมีความหวือหวา จนกระทบต่อการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันส่งผลให้มาร์จิ้นต่ำ ขณะที่ยังมีปัจจัยหนุนจากการขยายในส่วนธุรกิจค้าปลีกอย่างร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอน ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นดี นอกจากนี้คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มาร์จิ้นธุรกิจก๊าซฯก็น่าจะดีขึ้นด้วย เนื่องจากการซื้อก๊าซฯจาก PTTEP น่าจะถูกลง ตามสูตรราคาซื้อขายก๊าซฯที่อิงกับราคาน้ำมันเตาที่คาดว่าจะมีราคาลดลงรับผลจากเกณฑ์ใหม่ของ IMO
อย่างไรก็ตามในช่วงรอบเดือนที่ผ่านมาราคาหุ้น PTT ไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากยังไม่มีความน่าสนใจอย่างเด่นชัดเมื่อเทียบกับบริษัทลูกอย่าง PTTEP ที่ได้ประโยชน์มากกว่าจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นแล้วราว 40% ในปีนี้ ขณะที่ผลการดำเนินงานปกติของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีก็ยังไม่สดใสจากมาร์จิ้นที่ยังอ่อนแอ แต่คาดว่าหลังจากนี้ตลาดอาจจะหันมาให้ความสนใจหุ้น PTT เพิ่มขึ้นจากการที่เป็นหุ้น Defensive รวมถึงยังมีประเด็นบวกจากแผนการนำ PTTOR เข้าตลาดหุ้น แม้อาจจะยังมีความล่าช้าอยู่บ้าง
นอกจากนี้การประกาศปรับเปลี่ยนกฏเกณฑ์ของการคำนวนดัชนี MSCI คาดว่าจะทำให้มีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น PTT จาก 0.3% เป็น 0.4% ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศในช่วงกลางเดือน พ.ค. และมีผลบังคับใช้ในปลายเดือน พ.ค. ก็อาจจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในหุ้น PTT มากขึ้น
"หุ้น PTT ยังเป็นหุ้นปลอดภัย มีกำไรเติบโตต่อเนื่อง และมี Catalyst จากเรื่อง PTTOR เข้ามา รวมถึงคาดการณ์เรื่อง MSCI ปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนในเดือนพฤษภาคม ถ้าประกาศออกมาเป็นแบบนี้ก็จะทำให้มีเม็ดเงินที่ซื้อจริงเข้ามา"นายกิติชาญ กล่าวนางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของ PTT ในไตรมาส 1/62 จะพลิกกลับมาเติบโตจากไตรมาส 4/61 จากคาดการณ์ว่าจะไม่มีการบันทึกขาดทุนสต็อกน้ำมันในระดับสูงเช่นที่เกิดขึ้นในไตรมาสก่อน แต่ในส่วนของกำไรปกติอาจจะปรับตัวลดลง จากแรงกดดันของผลการดำเนินงาน PTTEP ที่คาดปริมาณขายจะลดลงเพราะตามปกติช่วงต้นปี PTT จะเรียกรับก๊าซฯในอ่าวไทยลดลง รวมถึงมีการหยุดผลิตของแหล่งบงกชใต้นานกว่า 1 เดือน ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นยังถูกกดดันจากค่าการกลั่นที่ลดลงจากภาวะ Oversupply ของน้ำมันสำเร็จรูป แต่คาดว่าค่าการกลั่นมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.และเม.ย.เพราะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลหยุดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งทั่วโลก ขณะที่สเปรดปิโตรเคมียังทรงตัวในระดับต่ำ
บทวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่าแนวโน้มกำไรสุทธิของ PTT ในไตรมาส 1/62 จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพลิกมาปรับขึ้น จากมาตรการลดการผลิตของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และสงครามการค้าคลายตัว ช่วยให้ขาดทุนสต็อกน้ำมันจำนวนมากหายไป ชดเชยแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซฯ 45 วัน, แหล่งบงกช 1.5 เดือน, ค่าการกลั่น และส่วนต่างราคาปิโตรเคมีชะลอลงได้
อย่างไรก็ตามปรับประมาณการกำไรปกติปี 62 ลง 9% เพื่อสะท้อนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบที่ 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากเดิมที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และให้สอดคล้องกับคาดการณ์กำไรของบริษัทในเครือ ซึ่งภายหลังปรับประมาณการจะทำให้กำไรปกติปี 62 อยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีที่แล้ว โดยกำไรที่เติบโตมาจากกำไรบริษัทในเครือที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ขณะที่ธุรกิจก๊าซฯชะลอลงจากมาร์จิ้นของโรงแยกก๊าซฯถูกกดดันจากต้นทุนก๊าซขาขึ้น
ทั้งนี้ หยวนต้าฯ เลือก PTT เป็น Top pick จากโครงสร้างธุรกิจครบวงจร และมีความผันผวนน้อย รวมถึงมี Catalyst จากแผนนำหุ้น PTTOR เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ