ESSO เชื่อยังมีลุ้นทำกำไรได้ดีแม้เกณฑ์ใหม่ IMO อาจกระทบราคาน้ำมันเตา ,ศึกษาทางเลือกลงทุนรับมาตรฐานยูโร 5 ในอนาคต

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 29, 2019 08:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุชาติ โพธิ์วัฒนะเสถียร กรรมการและผู้จัดการโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ศรีราชา บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) เปิดเผยว่า บริษัทยังเชื่อว่าจะสามารถทำกำไรได้ดี แม้การที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) กำหนดคุณภาพของน้ำมันเตาที่ใช้ในการเดินเรือ (Bunker fuel) ให้ลดลงจาก 3.5% เหลือ 0.5% ของกำมะถันในปี 63 นั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันเตา โดยบริษัทอาจมีการผสมน้ำมันเบาที่มีกำมะถันต่ำเข้ากับน้ำมันเตาเพื่อผลิตน้ำมันเตากำมะถันต่ำ

"มีการคาดการณ์ของราคาน้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูงและต่ำ และน้ำมันเบาที่มีกำมะถันต่ำ โดยนักวิเคราะห์ในหลายรูปแบบ อีกทั้ง ทางบริษัทเดินเรือก็เริ่มมีการติดตั้งอุปกรณ์ (scrubber) บนเรือเพื่อให้มีการจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์เรือทำให้อาจสามารถใช้น้ำมันที่มีกำมะถันสูงได้ ยังคงเร็วไปที่จะคาดการณ์ให้แน่ชัดว่าราคาตลาดของน้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูงและต่ำจะเป็นอย่างไร ทางบริษัทได้มีการศึกษาและดำเนินการให้แน่ใจว่าไม่ว่าราคาตลาดของน้ำมันเตาจะไปในทิศทางใด เรายังสามารถที่จะมีโอกาสทำกำไรสูงสุด ซึ่งก็รวมถึงการผสมน้ำมันเบาที่มีกำมะถันต่ำเข้ากับน้ำมันเตาเพื่อผลิตน้ำมันเตากำมะถันต่ำ การกลั่นน้ำมันดิบราคาถูกที่มีกำมะถันต่ำ"นายสุชาติ กล่าว

นายสุชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาใกล้เคียงกับการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่เมื่อปี 54 ก็จะใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงให้หน่วยกลั่นต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนในการผลิต อย่างไรก็ตามการปรับปรุงประสิทธิภาพของหน่วยกลั่นต่าง ๆ จะไม่ทำให้สัดส่วนการผลิตผลิตภัณท์ต่าง ๆ แตกต่างไปจากเดิมมากนัก ส่วนกำลังการผลิตเฉลี่ยในปีนี้ก็จะลดลงตามสัดส่วน อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนที่จะกลั่นให้ได้สูงสุดก่อนและหลังการหยุดซ่อมใหญ่ และมีแผนที่จะให้แน่ใจว่ายังสามารถส่งผลิตภัณท์ให้กับลูกค้าได้ในช่วงเวลาที่มีการหยุดซ่อมใหญ่

ขณะที่ในปีที่แล้วบริษัทกลั่นน้ำมันได้ 1.43 แสนบาร์เรล/วัน จากกำลังการกลั่นของโรงกลั่นที่อยู่ระดับ 1.74 แสนบาร์เรล/วัน

ส่วนการวางแผนการปรับปรุงโรงกลั่นเพื่อรองรับมาตรฐานยูโร 5 ในอนาคตนั้น ขณะนี้บริษัทได้มีการทำงานร่วมกับทางหน่วยงานของภาครัฐ เพื่อรองรับมาตรฐานยูโร 5 ซึ่งคาดว่าภาครัฐจะให้เวลากับทางผู้ผลิตประมาณ 4-5 ปีในการติดตั้งและปรับปรุงให้สามารถผลิตน้ำมันยูโร 5 ทั้งนี้ เมื่อใดที่ทางภาครัฐประกาศทางบริษัทก็พร้อมที่จะผลิตให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งทางบริษัทได้ทำการศึกษาทางเลือกและการลงทุนในหลาย ๆ รูปแบบเพื่อให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้เป็นอย่างดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ