บล.กสิกรไทย คาด SET มีโอกาสปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1,500 จุดในช่วง Q2-Q3 รับผลกระทบสงครามการค้ายืดเยื้อ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 15, 2019 13:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐนและจีนที่เกิดขึ้นและยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดนั้น ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลก และการลงทุนในตลาดหุ้นด้วย โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหุ้นในหลายๆประเทศต่างปรับตัวลดลง รวมไปถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

แม้ว่าผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง แต่ตลาดหุ้นได้มีการตอบรับปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก ทำให้ปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาจากที่เคยทำสถิติสูงสุดไว้ที่ 1,850 จุด โดยผลกระทบดังกล่าวมองว่าจะส่กดดันต่อการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเท่านั้น

โดยที่มองว่าการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยในรอบนี้จะมีจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,500 จุด ที่ P/E ระดับ 13.2 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงมาที่ไม่เกินระดับดังกล่าวในช่วงไตรมาส 2/62 หรือไตรมาส 3/62 จากปัจจัยสงครามการค้าที่กดดัน ทำให้แนวโน้มของเศรษฐกิจโลกดูแย่ลง และตลาดหุ้นอยู่ในภาวะขาลงในช่วงนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าประเด็นสงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกไปอีก 2 ปีนี้ จากการที่สหรัฐฯต้องการสกัดกั้นจีนในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลก

อย่างไรก็ตาม มองว่าผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะเป็นโอกาสทำให้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) มีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะปัจจุบันมูลค่าตลาด (Market Cap) ของตลาดหุ้นเกิดใหม่มีสัดส่วนเพียงแค่ 15% ของมูลค่าตลาดรวมทั่วโลก ในขณะที่สัดส่วนจีดีพีของตลาดหุ้นเกิดใหม่มีสัดส่วนที่สูงถึง 50% ของจีดีพีรวมทั้งโลก ทำให้ในอนาคตหลังผ่านประเด็นสงครามการค้าไป จะทำให้แนวโน้มของกระแสเงินทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่มากขึ้นื ทำให้จะเห็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในอนาคต

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็จะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าวไปด้วย ซึ่งมองว่าในระยะเวลาอีก 5 ปีจากนี้ มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะทำสถิติสูงสุด (New High) รอบใหม่จากที่เคยทำไว้ 1,850 จุด ซึ่งจะต้องมีปัจจัยภายในประเทศเข้ามาช่วยกระตุ้นด้วย โดยเฉพาะการขับเคลื่อนมาตรการและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น อีกทั้งมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยต่างๆที่จะเข้ามาช่วยหนุนการบริโภคให้ฟื้นตัวขึ้น

นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีความทนทานต่อภาวะตลาดหุ้นขาลงในช่วงนี้ เพราะปัจจุบันมีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติที่ถือครองหุ้นไทยอยู่จำนวนไม่มากแล้ว และมีความแข็งแกร่งของเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น Safe Heaven ของนักลงทุนต่างชาติ ที่นำเงินเข้ามาพัก ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยไม่มากนัก

ทั้งนี้บล.กสิกรไทยยังคงเป้าหมายดัชนี SET ในปี 62 อยู่ที่ 1,750 จุด โดยที่ยังไม่มีแผนที่จะทบทวนเป้าหมายดัชนีในขณะนี้ ซึ่งจะขอรอดูแนวโน้มตัวเลขเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2/62 ก่อนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร และกลุ่มหุ้นที่แนะนำที่ได้รับผลกระทบของสงครามการค้าไม่มากนั้นมีทั้งหมด 8 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL HMPRO BJC และ MEGA 2.กลุ่มโลจิสติกส์ เช่น AMATA และ JWD

3.กลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว เช่น AOT MINT CENTEL และ ERW 4.กลุ่มโรงพยาบาล เช่น BDMS และ BCH 5.กลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น BGRIM และ GPSC 6.กลุ่ม ICT ได่แก่ ADVANC 7.กลุ่มอาหารและเกษตร เช่น CPF และ M และ 8.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น LH SPALI และ QH


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ