โบรกฯให้เป้าดัชนีฯ H2/62 ในกรอบ 1,720-1,800 จุด เทรด P/E 15-17 เท่า เชียร์ Domestic plays เด่น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 2, 2019 13:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์มองเป้าดัชนี SET ครึ่งหลังปีนี้ในช่วง 1,720-1,800 จุด เทรด P/E 15-17 เท่า อัตราการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) 6.5-13% พร้อมแนะลงทุนกลุ่ม Domestic plays อย่าง กลุ่มแบงก์, รับเหมาฯ, ค้าปลีก หลังตั้งรัฐบาลคาดหวังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เดินหน้าสานต่อนโยบายเดิม พร้อมเชื่อลงทุนภาครัฐและเอกชนฟื้น รวมถึงกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้ดีขึ้นด้วย

นอกจากนี้ หุ้นขนาดใหญ่อย่างกลุ่มพลังงานยังน่าสนใจลงทุน จากทิศทาง Fund Flow ไหลเข้า ประกอบกับราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ อีกทั้งจะมีเรื่องของเกณฑ์ใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) เข้ามาช่วยหนุนการลงทุนด้วย

อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะประสบผลสำเร็จได้หรือไม่ รวมถึงทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปีนี้จะเป็นไปตามคาด 1-2 ครั้งหรือไม่ ซึ่งจากความไม่แน่นอนของปัจจัยในและนอกประเทศ ทำให้เห็นว่าหุ้น Defensive น่าจะเหมาะลงทุน โดยเฉพาะหุ้นปันผลสูง และยัง Laggard อย่างกลุ่มโรงพยาบาล ส่วนหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ามองว่าราคาขึ้นไปสูงมากแล้วพร้อมจะเกิดแรงขายทำกำไรออกมาได้ทุกเมื่อ

พักเที่ยงดัชนี SET อยู่ที่ 1,737.04 จุด ลดลง 3.87 จุด หรือ 0.22% ขณะที่นับตั้งแต่ต้นปี SET เพิ่มขึ้นราว 11%

          โบรกเกอร์           เป้าหมายดัชนีฯ(จุด)          P/E (เท่า)          Earning Growth(%)
          ฟินันเซีย ไซรัส            1,720                  16.4                    6.5
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง          1,750                  16.5                    9.0
          โนมูระ พัฒนสิน            1,800                  16-17                  13.0
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)       1,760                  16.0                    8.0
          ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี          1,780                  15.0                    8.0

*FSS มองตั้งรัฐบาลได้หนุนการลงทุนทั้งภาครัฐฯ-เอกชน/ชู Domestic plays เด่นใน H2/62

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ได้มองเป้าหมายดัชนีฯไว้ที่ 1,720 จุด ปรับลดจากเดิมที่มองไว้เมื่อช่วงต้นปี 62 ที่ 1,800 จุด ซึ่งหลังจากที่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว การลงทุนในส่วนของภาครัฐฯ และเอกชน น่าจะดีขึ้น และน่าจะมีการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคด้วย ทำให้หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในครึ่งปีหลังเน้นเป็นหุ้นจำพวก Domestic plays อย่างหุ้นในกลุ่มแบงก์ จากสินเชื่อภาคธุรกิจที่น่าจะมีการเติบโต ทำให้แบงก์น่าจะ perform ได้ดี และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงหุ้นในกลุ่มค้าปลีกด้วย

นอกจากนี้ หากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน สามารถประสบผลสำเร็จได้ ก็มองหุ้นในกลุ่มน้ำมัน และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ น่าจะดีด้วย ทั้งนี้ ยังให้ติดตามประเด็นการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ที่มีการขยายเวลาออกไปแล้ว และจะมี Dateline ในวันที่ 31 ต.ค. ดังนั้น เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 3/62 ก็น่าจะมีการพูดถึงเรื่อง Brexit กันมากขึ้น

สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้น ตลาดฯคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งก็จะต้องรอดูจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดหรือไม่ เพราะน่าจะต้องขึ้นอยู่เศรษฐกิจด้วย โดยถ้าสงครามการค้าสามารถคลี่คลายได้ เศรษฐกิจก็น่าจะกลับมาดี การปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็อาจเปลี่ยนภาพไป

*MBKET คาดตลาดหุ้นใน Q3 ผันผวนแต่จะดีขึ้นใน Q4/เชียร์ Domestic plays

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET กล่าวว่า เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง มองไว้ที่ 1,750 จุด ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อต้นปี 62 มองไว้ที่ 1,730 จุด โดยตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/62 คาดว่าจะแกว่งผันผวนไปตามนโยบายทั้งในและต่างประเทศ ส่วนไตรมาส 4/62 ตลาดฯมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ จากที่นักลงทุนมองไปถึงทิศทางการลงทุนในปีหน้า และก็เป็นช่วง High season ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย อย่างกลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังจะต้องจับตานโยบายของภาครัฐฯหลังจากที่ได้รัฐบาลแล้ว มองดูว่าพวกโครงการค้างท่อต่าง ๆ จะออกมาได้มากแค่ไหน ส่วนนอกประเทศก็ให้จับตาท่าทีของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงติดตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกจะมีแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจริงหรือไม่

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ให้น้ำหนักไปที่พวก Domestic plays กลุ่มที่น่าสนใจเป็นหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อย่างหุ้นบมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) จากความต้องการใช้ปูนในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 5% และราคาถ่านหินที่เป็นต้นทุนก็ปรับตัวลงด้วย, กลุ่มค้าปลีก เพราะนโยบายภาครัฐฯที่จะมากระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้แรงซื้อผู้บริโภคน่าจะยังมีอยู่, กลุ่มโรงพยาบาล ในไตรมาส 3/62 เป็นช่วง High season แต่ให้รอดูผลประกอบการงวดไตรมาส 2/62 ออกมาก่อนค่อยซื้อ เพราะไตรมาส 2/62 มักจะเป็นไตรมาสที่งบฯไม่ค่อยดี แนะนำหุ้นบมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) , กลุ่มไฟแนนซ์ แนะนำหุ้นบมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ที่การเติบโตยังดีอยู่ และกลุ่มท่องเที่ยวจะดีในครึ่งปีหลัง แนะนำหุ้นบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) มองไตรมาส 2-3 จะกลับมาโตเด่น

*CNS มองกรอบแกว่งดัชนีฯ H2/62 ที่ 1,620-1,850 พร้อมเชียร์ Domestic plays

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง มองกรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่ 1,620-1,850 จุด โดยมองเป้าหมายดัชนีฯปีนี้ไว้ที่ 1,800 จุด ปรับลดจากเดิมที่มองเป้าไว้ที่ 1,825 จุด ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของตลาดฯจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยตลาดฯได้ปัจจัยบวกจากนโยบายผ่อนคลายของธนาคารกลางแต่ละประเทศ ทำให้ Fund Flow ไหลเข้ามาในเอเชีย

ส่วนบ้านเราก็เข้าสู่จุดเปลี่ยนการเมือง การบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ส่วนภาพทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯเป็นขาลง มักจะทำให้ตลาดหุ้นในเอเชีย รวมถึงไทยปรับตัวขึ้นราว 20% และยังมองว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดฯที่ Fund Flow มีโอกาสจะไหลเข้ามา อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งปีหลัง ยังต้องติดตามสงครามการค้า และ Brexit เพราะมีผลต่อทิศทางตลาดฯ

หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง เน้นพวก Domestic plays ซึ่งก็แนะนำหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แนะนำหุ้นบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) , กลุ่มการบริโภค แนะนำหุ้นบมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.โรบินสัน (ROBINS) เป็นต้น, กลุ่มแบงก์ แนะนำ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และกลุ่มอาหาร แนะนำ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF), MINT เป็นต้น

*PST มองหุ้นไทย H2/62 ผันผวน-Upside ไม่มาก/เชียร์ลงทุนกลุ่มแบงก์-พลังงาน

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) หรือ PST กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังมองว่ายังมีความผันผวนอยู่ และ Upside ไม่แรงมาก แม้ว่าจะยังได้แรงหนุนจาก Fund Flow ที่ยังไหลเข้ามา เนื่องจากตลาดฯยังมีปัจจัยถ่วงจากสงครามการค้า ดังนั้น ในครึ่งปีหลังเหมาะที่จะลงทุนในลักษณะของการเล่นรอบมากกว่า เพราะ Sentiment ของตลาดฯขึ้นอยู่กับปัจจัย และขณะนี้ตลาดฯก็ขึ้นไปมากแล้ว

อย่างไรก็ดี ตลาดฯยังต้องรอดูปัจจัยในประเทศเรื่องการตั้งรัฐบาลแล้วจะอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน ส่วนเรื่องของเฟดที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ตลาดฯก็ค่อนข้างจะมั่นใจมากว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย

สำหรับการลงทุนในครึ่งปีหลัง มองหุ้นขนาดใหญ่จะได้เปรียบเพราะมี Fund Flow ไหลเข้า โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะมีหลายตัวที่ยัง Laggard และหุ้นในกลุ่มพลังงานก็ยังน่าสนใจลงทุน เนื่องจากราคาน้ำมันยังมีทิศทางที่จะปรับขึ้น อีกทั้งในช่วงปลายปีก็จะมีเรื่องของเกณฑ์ใหม่ IMO ที่กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% จาก 3.5% ในปัจจุบันตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 ซึ่งจะทำให้เกิดอุปสงค์การใช้น้ำมันดีเซลเพื่อมาผสมในน้ำมันเตาเพื่อลดค่ากำมะถัน หรือการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อทดแทนมากขึ้น กรณีดังกล่าวก็จะเป็นปัจจัยหนุนกลุ่มพลังงาน

ส่วนหุ้นพวก Domestic plays คงจะให้น้ำหนักแค่การเล่นเป็นรอบ ๆ ไปในบางช่วง เนื่องจากปัจจัยในประเทศยังมีความไม่แน่นอนอยู่

*CGS-CIMB ระบุ H2/62 หากปัจจัยใน-นอกปท.ยังไม่แน่นอน-เชียร์กลุ่มโรงพยาบาลดีสุด

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) หรือ CGS-CIMB กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังต้องขึ้นกับปัจจัยในและนอกประเทศ โดยปัจจัยนอกประเทศในเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ยังไม่จบ เพียงแค่การพักรบชั่วคราวเท่านั้น แต่มองว่าคงจะพักรบไปได้ไม่นานก็ต้องเจรจาให้จบ เพราะยังมีความต่อเนื่องการเจรจาการค้ากับทางยุโรปตามมาในช่วงเดือนตุลาคม ที่จะต้องติดตามดูความคืบหน้าต่อไป ซึ่งถ้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จบได้ก็จะเป็นผลดีต่อตลาดฯ นอกจากนี้ยังต้องติดตามทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยด้วย แม้ว่าขณะนี้ตลาดฯจะคาดการณ์ว่าสหรัฐฯจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม

ส่วนปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามความคืบหน้าทางการเมือง รวมถึงการลุ้นจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร หลังตั้งรัฐบาลได้ เพราะตอนนี้เริ่มเห็นปัญหาที่มีมากขึ้น แต่หากการเมืองดีขึ้นก็จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ดี การที่หน่วยงานรัฐบาลปรับลดตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) และปรับลดตัวเลขการส่งออกในปีนี้ลง ทำให้มองว่าอาจจะจำกัดการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ แต่ถ้าเศรษฐกิจดี และข้อพิพาทในต่างประเทศตกลงกันได้ ก็มีลุ้นที่ Earning Growth จะทำได้ 8% ตามที่คาดการณ์

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในครึ่งปีหลัง หากปัจจัยต่าง ๆ ยังมีความไม่แน่นอน ก็คงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นจำพวก Defensive ที่ให้ปันผลสูง อย่างหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ส่วนหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าแม้ว่าจะเล่นแล้วปลอดภัย แต่ปัจจุบันราคาหุ้นได้ขึ้นมาจนแพงไปแล้ว

ทั้งนี้ หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจบได้ หุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มเกษตร, ชิ้นส่วนรถยนต์ จะกลับมาฟื้นตัว รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมีก็น่าสนใจด้วย แต่เงินบาทที่แข็งค่าก็อาจจะกระทบบ้างในบางกลุ่ม

อีกทั้งหากสามารถตั้งรัฐบาลได้ และสานต่อนโยบายเดิม หุ้นจำพวก Domestic plays จะน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มโรงแรม, กลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น และหากภาพเศรษฐกิจสามารถสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้ หุ้นในกลุ่มแบงก์ ก็น่าสนใจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ