ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร TFG ที่ "BBB-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 3, 2019 15:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) ที่ระดับ "BBB-"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารในประเทศไทย ตลอดจนประวัติผลงานในฐานะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไก่ นอกจากนี้ ยังสะท้อนว่าบริษัทยังคงเติบโตจากการดำเนินธุรกิจที่เป็นแบบกึ่งครบวงจรมาโดยตลอดอีกด้วย ในการนี้บริษัทอยู่ในช่วงของการขยายตลาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังทำการเพิ่มสัดส่วนของกลุ่มสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มของบริษัทด้วย

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากหลายปัจจัย อาทิ ความผันผวนของกำไรซึ่งเกิดจากการที่บริษัทพึ่งพาสินค้าที่มีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ค่อนข้างมาก ตลอดจนราคาที่ผันผวนของวัตถุดิบที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ และการก่อหนี้เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายลงทุนจำนวนมาก บริษัทมีความเสี่ยงเฉพาะตัวของอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับผู้ผลิตไก่รายอื่น ๆ เช่น ความเสี่ยงจากโรคระบาดในไก่ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากร และโควต้าของประเทศผู้นำเข้าทั้งหลาย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีประวัติผลงานที่เป็นที่ยอมรับ บริษัทมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผลิตไก่มานานเกือบ 20 ปี จากรายงานของสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทยระบุว่าส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดไก่ส่งออกของบริษัทในปี 2561 อยู่ที่ 20% และสำหรับตลาดภายในประเทศนั้น บริษัทยังเป็นผู้แปรรูปไก่รายใหญ่อันดับที่ 5 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 10%

บริษัทเริ่มผสมพันธุ์และเลี้ยงสุกรในปี 2556 จากรายงานของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติระบุว่าในปี 2561 บริษัทเป็นผู้ผลิตสุกรรายใหญ่อันดับที่ 3 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 4% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับขนาดของผู้ผลิตสุกรขนาดกลางรายอื่น แต่ถือว่าต่ำกว่าผู้ผลิตรายใหญ่ 2 อันดับแรกค่อนข้างมาก โดยผู้ผลิตสุกรรายใหญ่ที่สุดมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 40% ในขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 มีส่วนแบ่งทางการตลาด 10%

กลยุทธ์การเติบโตผ่านการดำเนินธุรกิจแบบกึ่งครบวงจร (Vertical Integration) บริษัทกลายมาเป็นผู้ผลิตไก่และสุกรแบบกึ่งครบวงจรจากต้นน้ำถึงผลิตภัณฑ์ขั้นต้นของปลายน้ำ กล่าวคือ บริษัทผลิตอาหารสัตว์ ผสมพันธุ์ไก่พ่อแม่พันธุ์ ฟักไข่ รวมไปถึงเลี้ยงไก่และสุกร บริษัทเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์ต่อเนื่องไปยังบรรพบุรุษในรุ่นอื่นรวมทั้งหมด 3 รุ่นในฟาร์มของตนเองซึ่งตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ชลบุรี และสระแก้ว ในขณะที่การเลี้ยงไก่เนื้อและสุกรขุนนั้นดำเนินการภายใต้ระบบการเกษตรแบบพันธสัญญา

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ธุรกิจสุกรของบริษัทเข้าสู่การเป็นธุรกิจครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ (Fully Vertically-Integrated) บริษัทวางแผนจะขยายงานสู่การแปรรูปสุกรภายในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ตลาดและผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มมีการกระจายตัวมากขึ้น บริษัทกำลังมุ่งสู่การขยายตลาดให้ครอบคลุมทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ ในปี 2561 บริษัทส่งออกเนื้อไก่ชำแหละแช่แข็งจำนวน 54,627 ตัน โดยบริษัทมียอดขายส่งออกเติบโตขึ้น 27% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศแถบยุโรป และประเทศในแถบเอเชียโดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีน ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายส่งออกในสัดส่วนถึง 15%-19% ของยอดขายรวมในปี 2561 จนถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2559 และ13% ในปี 2560

แม้ว่ารายได้จากการส่งออกของบริษัทจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ตลาดในประเทศก็ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท ทั้งนี้ ในปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการขายในตลาดในประเทศอยู่ที่ 81% ของรายได้รวม อนึ่ง บริษัทได้เปิดโรงงานแปรรูปไก่แห่งใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 เมื่อโรงงานแห่งใหม่เปิดดำเนินการ ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณสินค้าส่งออกของบริษัทจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 60,000-65,000 ตันต่อปีในช่วงปี 2562-2564 โดยรายได้จากการส่งออกคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 25%-30% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วงปี 2562-2564

บริษัทกำลังขยายสัดส่วนกลุ่มสินค้าไปยังอาหารปรุงสุกที่มีอัตรากำไรสูงกว่า ด้วยการขยายกลุ่มสินค้าและเพิ่มยอดสินค้าส่งออก ซึ่งจะส่งผลทำให้รายได้ของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและอัตรากำไรขั้นต้นก็จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

อุตสาหกรรมขาลงส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท ผลประกอบการของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ในปี 2561 เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบในทางลบจากภาวะอุปทานส่วนเกินของสัตว์บกในประเทศที่ยาวนาน ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2561 ราคาสุกรลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปีก่อนที่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงกลางปี 2561 ส่วนราคาไก่เนื้อก็ลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดในช่วงต้นปี 2561 ด้วยเช่นกัน แต่ก็ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 จึงส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.7% ในปี 2561 จากระดับ 10.2% ในปี 2560 และระดับ 11% ในปี 2559

ในช่วงต้นปี 2562 ราคาเนื้อสุกรและราคาเนื้อไก่ชำแหละปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาเนื้อสุกรปรับตัวเพิ่มขึ้น 51% ในขณะที่ราคาเนื้อไก่ปรับตัวเพิ่มขึ้น14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 559 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกปี 2562 เมื่อเทียบกับ 130 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจะดีขึ้น โดยคาดว่าราคาเนื้อไก่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในขณะที่ราคาเนื้อสุกรจะยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์จะยังคงอยู่ในระดับที่จัดการได้ ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงปี 2562-2564 อัตรากำไรของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับ 9%-10% และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 2,500-2,900 ล้านบาทต่อปี

ภาระหนี้อยู่ในระดับสูง แต่กระแสเงินสดยังคงเพียงพอ การที่บริษัทมีเงินลงทุนจำนวนมากและมีผลประกอบการที่อ่อนตัวลงส่งผลทำให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นในปี 2561 หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 11,188 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 จากระดับ 8,096 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 58.8% ในปี 2561 จากระดับ 52.3% ในปี 2560

ในระหว่างปี 2562-2564 บริษัทวางแผนงบลงทุนไว้ที่ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี ค่าใช้จ่ายลงทุนที่บริษัทวางแผนไว้นั้นจะครอบคลุมสำหรับการขยายกำลังการผลิตทั้งการก่อสร้างโรงงานผลิตเนื้อสัตว์และกระดูก การขยายโรงงานอาหารสัตว์ การขยายโรงเชือดสุกร และการลงทุนที่ต่อเนื่องสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกัน

ทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณระดับ 2,500-2,900 ล้านบาทต่อปี ในระหว่างปี 2562-2564 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 55%

กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงในปี 2561 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังไม่มีความกังวลในเรื่องสภาพคล่องของบริษัท โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 18%-23% ในระหว่างปี 2562-2564 ปัจจุบันบริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 4,286 ล้านบาทและมีเงินสดในมืออีก 186 ล้านบาท

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

รายได้ของบริษัทจะปรับตัวลดลง 2% ในปี 2561 แต่จะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 3%-5% ต่อปีในระหว่างปี 2563-2564

อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในช่วงระหว่าง 9%-10%

ค่าใช้จ่ายลงทุนและเงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจไก่และสุกรในประเทศไทยได้ต่อไป นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะรักษาสถานะเครดิตและสภาพคล่องที่เพียงพอเอาไว้ได้ในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า แม้ว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับความท้าทายของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร รวมถึงค่าใช้จ่ายลงทุนและเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูงก็ตาม

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มและคงระดับของกำไรและกระแสเงินสดเอาไว้ได้เป็นระยะเวลานาน ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทถดถอยลงอย่างชัดเจนหรือผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องยาวนานในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ การลงทุนขยายกำลังการผลิตที่ใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะทำให้ฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงก็เป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ