บล.กสิกรไทย จับตานโยบายรัฐบาล"ประยุทธ์"คาดเร่งออกมาตรการกระตุ้นศก. หนุนการบริโภคภายในประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 4, 2019 14:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย คาดว่ารัฐบาลใหม่ภายใต้การดำเนินงานของพล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา จะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบเร่งด่วนแบบเห็นผลทันตา เพื่อถ่วงดุลภาพรวมการส่งออกและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยมาตรการกระตุ้นแบบ fast-moving นี้ จะถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศสำหรับเพิ่มรายได้และการบริโภคในครัวเรือนมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีการตั้งงบประมาณประจำปี 2563 ไว้ที่ 3.2 ล้านบาท ขาดดุลอยู่ที่ 4.5 แสนล้านบาท ถือเป็น 14% ของงบประมาณปี 2563 เพื่อสนับสนุนโครงการที่กำลังดำเนินอยู่และที่รออยู่ในอนาคตจากพ.ร.บ.วินัยทางการคลังและการเงิน มีเพดานงบขาดดุลกำหนดไว้ที่ 20% ของงบประจำปีทั้งหมด ซึ่งทำให้รัฐบาลใหม่สามารถใช้งบส่วนเพิ่มได้ประมาณ 1.9 แสนล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 6% ของงบประมาณปี 2563 และหากมีความจำเป็น รัฐบาลใหม่อาจตั้งงบขาดดุลส่วนเพิ่มโดยตั้งในงบกลางปีเหมือนที่เคยทำในปี 2560-2561 ซึ่งงบประมาณส่วนนี้จะช่วยเพิ่มการเติบโต GDP ได้ ถึง 1-1.5%

"มาตรการหลักที่เราคาดว่าจะเห็นจากรัฐบาลใหม่ใช้คือ การสนับสนุนรายได้ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการรัฐ เงินชดเชยให้กลุ่มการเกษตรขนาดเล็ก การหักลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่าเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ และค่าธรรมเนียมที่ลดลงสำหรับการจดจำนองของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย สำหรับในระยะถัดไปเราอาจมองเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้นเมื่อการบริหารประเทศของรัฐบาลใหม่มีความมั่นคงมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลใหม่สามารถนำเสนอมาตรการที่มีระบบและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง แต่ในขณะเดียวกันอาจมีต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นสำหรับกลุ่มอสังหาฯเพื่อการอยู่อาศัย การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับตัวเมืองในต่างจังหวัดเงินชดเชยราคาสินค้าเกษตรที่มีระบบมากขึ้น การสนับสนุน SME อย่างมีระบบ และความสามารถในการกู้ยืมระดับจังหวัด รวมทั้งรัฐบาลใหม่จะเดินหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีการประมูลรออยู่อีกมาก และเร่งโครงการสำคัญในปัจุบัน เช่น EEC และรถไฟฟ้าความเร็วสูง ส่วนประเด็นการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำรวดเดียวถึง 25-27% นั้นยังไม่น่าเกิดขึ้น เนื่องจากอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจแต่อาจมีการปรับค่าแรงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากรัฐบาลมีเครื่องมือจำกัดในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว" นายภาสกร กล่าว

โดย มองว่ากลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายภายใต้การดำเนินงานของพลเอกประยุทธ์ จันโอชา ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL, MAKRO, HMPRO, ROBINS, BJC, GLOBAL) จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากรายได้ในครัวเรือนที่สูงขึ้นซึ่งจะกลายมาเป็น SSSG ที่สูงขึ้น

กลุ่มรับเหมาโยธา (CK และ STEC) และกลุ่มขนส่งทางราง (BTS และ BEM) จะได้ประโยชน์จากการประมูลโครงการภาครัฐภายใต้รัฐบาลชุดใหม่

กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA, WHA, FPT) จะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ และจากการย้ายฐานโรงงานจากจีน

ขณะที่กลุ่มอสังหาฯ (LH, PSH, QH, ORI, AP, SPALI, SC) คาดจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของภาครัฐ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ