หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเริ่มทรงตัวถึงปรับตัวขึ้น หลังร่วงลงแรงเมื่อวานนี้ นำโดยหุ้น GULF เช้านี้ทรงตัวที่ 125.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2.28 พันล้านบาท เมื่อเวลา 10.46 น. ราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 126 บาท ราคาทำระดับสูงสุดที่ 126.50 บาท และทำระดับต่ำสุดที่ 121 บาท
หุ้น BGRIM อยู่ที่ 35.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท (+1.44%)
หุ้น EGCO อยู่ที่ 327.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท (+0.31%)
หุ้น GPSC อยู่ที่ 70.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท (+1.08%)
หุ้น RATCH อยู่ที่ 64.25 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
หุ้น BCPG อยู่ที่ 19.10 บาท ลดลง 0.10 บาท (-0.52%)
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าวานนี้ปรับลงจากข่าวผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้กระทรวงพลังงานทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี 2561-2580 (PDP2018) ภายใน 120 วันหลังมีผู้ร้องเรียนให้กำลังผลิตไฟฟ้าใน 10 ปีข้างหน้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องมีสัดส่วนการผลิตเกิน 51% โดยข่าวนี้เป็นลบต่อผู้ผลิต ไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) อย่างบมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF), บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH), บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) แต่กระทบจำกัดมากต่อผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) อย่างบมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) และบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)
ขณะที่ไม่กระทบผู้ผลิต Renewable อย่างบมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA), บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL), บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH), บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) โดยมีความเห็นเป็นกลาง และไม่คาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนแผน PDP2018 ตามข้อร้องเรียนนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าหลายตัวปรับขึ้นจน PE แพง ในกลุ่มนี้แนะนำซื้อ EA, GPSC และซื้ออ่อนตัวสำหรับ BGRIM, GUNKUL
ด้านบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่าราคาหุ้นโรงไฟฟ้าปรับลดลงแรงเมื่อวานนี้ เป็นผลจากข่าวผู้ตรวจการแผ่นดินส่งหนังสือให้กระทรวงพลังงานพิจารณาปรับแผน PDP2018 โดยให้เพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าของกฟผ.ไม่ต่ำกว่า 51% และแนะนำให้ดำเนินการตามวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน ,แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP2018) ที่กำลังเตรียมเปิดประชาพิจารณ์ใน ก.ค.62 ซึ่งเปิดโอกาสให้เอกชนแข่งขันขายไฟฟ้าจากโซลาร์ 9 พันเมกะวัตต์ แต่ตั้งเพดานเสนอราคาไม่เกิน 2.44 บาท/หน่วย ยกเว้นขยะชุมชน เพื่อป้องกันค่าไฟฟ้าตลอดแผน PDP2018 ไม่ให้เกินกว่า 3.58 บาท/หน่วย
ทั้งนี้ มีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวดังกล่าว เนื่องจากคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ใช่คำสั่งที่หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติตามทันที แต่เป็นเพียงการนำเสนอผลการตรวจสอบพบการกระทำที่เห็นว่าอาจไม่เป็นไปตามกฎหมาย แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิจารณาดำเนินการ หากมีการแก้ไขใดๆ ก็จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ก่อน
สำหรับแรงขายหุ้นโรงไฟฟ้าที่ออกมาอย่างหนักเมื่อวานนี้ เกิดจากการขายทำกำไร เนื่องจากราคาหุ้นโรงไฟฟ้าปรับขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้ ชะลอการลงทุนหุ้นโรงไฟฟ้า
บล.เอเชีย พลัส คาดว่าโอกาสที่รัฐจะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 51% ภายใน 10 ปีเชื่อว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากจะต้องมีการทบทวนแก้ไขแผน PDP2018 ที่เพิ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 30 เม.ย. 2562 ที่ผ่านมา รวมถึงเชื่อว่ากฟผ.อาจมีข้อจำกัดในด้านเงินลงทุนหากกฟผ.ต้องมีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 51%
ในส่วนของปัจจัยพื้นฐานหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าเกือบทุกตัวก่อนหน้านี้ได้ปรับตัวขึ้นเร็วและแรงในช่วงที่ผ่านมาจนเกินมูลค่าพื้นฐาน ประกอบกับประเด็นดังกล่าวเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้นในกลุ่ม ดังนั้น จึงเชื่อว่ามีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลงเข้าสู่มูลค่าพื้นฐานได้
ขณะที่บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่ายังคงน้ำหนักการลงทุนอุตสาหกรรมไฟฟ้า "มากกว่าตลาด" โดย Top pick คือ BGRIM แนะ"ซื้อ" ราคาเป้าหมายที่ 39 บาท ทั้งนี้จากประเด็นผู้ตรวจการแผ่นดินให้กฟผ.พิจารณากลับมามีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้า 51% มองว่าไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับอุตสาหกรรมไฟฟ้า แม้ใน Worst case scenario ซึ่งทำให้ PDP2018 มีโอกาสถูกแก้ไขและโครงการโรงไฟฟ้า IPP และ Solar rooftop ภาคประชาชนมีโอกาสถูกดึงกลับตามความเห็นของเคทีบีฯก็ตาม ซึ่งจะส่งผลต่อ Potential projects ในอนาคตของ IPP แต่การนำโรงไฟฟ้าออกมาประมูลยังใช้เวลาอีก 4-5 ปี คาดตลาดยังไม่ Price in อย่างมีนัยสำคัญ กอปรกับผู้ประกอบการต่างหันไปเน้นขยายธุรกิจในต่างประเทศทำให้ผลกระทบมีจำกัด
ขณะที่ส่วนของ Solar rooftop ประชาชนเองยังเป็นเพียงโครงการที่อยู่ในระยะนำร่องเท่านั้น ดังนั้น การที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวลงวานนี้จากประเด็นดังกล่าว เป็นโอกาสในการเข้า "ซื้อ"