เปิดมุมมอง"เสี่ยป๋อง"เซียนเทคนิครายใหญ่ ส่องอัพไซด์หุ้นไทยครึ่งปีหลังทะลุ 1,700 จุด "ถูก หรือ แพง"??

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 11, 2019 08:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวัชระ แก้วสว่าง หรือ"เสี่ยป๋อง"เซียนหุ้นเทคนิครายใหญ่ เปิดมุมมองกับ"อินโฟเควสท์"ถึงทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปี 62 ว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น ส่วนจะสามารถเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นได้หรือไม่นั้น หากพิจารณาตามกราฟเทคนิค ดัชนีหุ้นไทยทะลุผ่านเส้น Downtrend line ที่ 1,680 จุดมาแล้ว ถือเป็นสัญญาณ Buy Signal ทางเทคนิคส่งสัญญาณอย่างมีนัยสำคัญว่าอาจจะขึ้นต่อไปได้

แต่ทว่าแม้เครื่องมือทางเทคนิคบ่งชี้เช่นนั้น แต่หากย้อนมองปัจจัยพื้นฐานยังมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของหลายโบรกเกอร์ ซึ่งถ้าอ้างอิงข้อมูลจากกำไรต่อหุ้น (EPS) ของทั้งตลาดปีนี้ที่ 103-106 บาท ภายใต้สมมติฐาน P/E เกือบ 17 เท่า จะได้ระดับดัชนีฯแถวๆ 1,700 จุด นับว่ามีความเสี่ยงด้าน valuation

"ส่วนตัวมองว่าถ้าจะซื้อหุ้นในระดับปลอดภัยค่า P/E เฉลี่ยควรอยู่ที่ระดับ 14-15 เท่า แต่ในจังหวะที่ P/E ตลาดขึ้นไปถึง 17 เท่า หรือมากกว่า 1,700 จุด นักลงทุนจำเป็นต้องคัดสรรหุ้นให้ดี ต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคมาประกอบการตัดสินใจ เพราะถ้าจังหวะใดที่มีแรงขายหนัก ก็สามารถปรับพอร์ตได้ทันที ค่า P/E ที่ 17 เท่ามองเป็นกรอบบนแล้ว นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังสูง เลือกหุ้นมีพื้นฐาน เวลาตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงมาหนักๆจะได้ไม่เจ็บตัว การเลือกหุ้นของผมเอง เน้นไปในหุ้นบิ๊กแคปมีสภาพคล่องซื้อขายสูง เพราะเวลาซื้อหรือขายจะได้เข้าออกสะดวก"

นอกจากนี้ หากมาวิเคราะห์ความเสี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้น ตามสถิติในทุกๆ 10 ปีจะเกิดการปรับตัวลงรอบใหญ่ของดัชนี ถ้านับตั้งแต่ปี ค.ศ.2008 จนถึงปัจจุบันรวม 11 ปี ยังไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาหนัก จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อจับจังหวะ หากกราฟมีสัญญาณเตือนว่าเกิดแรงขายออกมาก็ต้องปรับพอร์ตทันที

เสี่ยป๋อง กล่าวต่อว่า เชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย แม้ว่าจะมีอัตราการเติบโตช้า แต่ก็ไม่ได้แย่ อาจจะไม่ค่อยถูกใจนักลงทุนที่เป็น"ขาซิ่ง" แต่หากภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังแข็งแรงนับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เพราะส่วนหนึ่งที่เศรษฐกิจไทยโตช้ามาจากความเป็นเศรษฐกิจระบบเก่า เทียบกับสหรัฐฯที่โตเร็ว เพราะธุรกิจด้านเทคโนโลยีพัฒนารวดเร็ว ดังนั้นจะให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นหวือหวาแบบสหรัฐฯคงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าล่าสุดทุกคนยังกังวลประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯและจีนที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก แต่เราน่าจะได้เห็นการเจรจากันเพื่อหาข้อยุติ หากมีความชัดเจนก็เชื่อว่าตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโลกจะเริ่มดีขึ้น

ขณะที่ปัจจัยภายนอกมีความเสี่ยง โดยเฉพาะสงครามการค้า แต่ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเป็นสิ่งสนับสนุนอัพไซด์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งจากทิศทางเงินทุนต่างชาติอาจจะไหลเข้ามาลงทุนมากขึ้น ล่าสุดสังเกตได้จากสัญญาณเงินบาทแข็งค่า และมีอีกประเด็นที่นักลงทุนกำลังเฝ้าจับตาคือโอกาสที่ประเทศไทยจะถูกอัพเกรดอันดับขึ้นจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก อย่าง มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส และ S&P เพราะไทยไม่ได้ถูกปรับอันดับมาหลายปีแล้ว จากในอดีตที่เคยประสบปัญหาการเมือง แต่ปัจจุบันมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง และที่น่าสนใจคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานน่าจะมีความต่อเนื่องทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ เชื่อมั่นว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าทุกอย่างน่าจะเข้าที่ ผลักดันเศรษฐกิจกลับมาอยู่ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง

เสี่ยป๋อง กล่าวว่า นับตั้งแต่ผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งมาเศรษฐกิจไทยไม่เคยปัญหาหนักเลย นอกจากปัญหาทางการเมืองภายใน โดยในช่วงวิกฤตซับไพร์ม เศรษฐกิจไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบ แม้ราคาหุ้นลงมาหนักในช่วงนั้นเกิดจากกลุ่ม Lehman Brothers และ AIA ขายสินทรัพย์ถือครองออกมา ทำให้ผู้ที่เข้ามาลงทุนในช่วงปี ค.ศ.2008 ถือเป็นโชคดีมาก เพราะหุ้นโดนขายแบบไม่มีเหตุผล

"สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเวลานี้ มีความแตกต่างกับในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือ ซับไพร์ม โดยสิ้นเชิง เนื่องจากสถานะทางการเงินของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย มีความแข็งแกร่งมาก สะท้อนได้จากการควบคุมระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ได้เป็นอย่างดี มีทุนสำรองเพียงพอรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ เป็นผลจากการคุมเข้มเรื่องความเสี่ยง แม้จะทำให้กำไรของกลุ่มธนาคารเติบโตจำกัด โดยส่วนตัวมองเป็นสิ่งที่ดี เพราะประเทศไทยกว่าจะผ่านวิกฤตมาได้ต้องใช้เวลาหลายปี เป็นบทเรียนที่ให้กับเศรษฐกิจไทย"

เสี่ยป๋อง ยอมรับว่า ในช่วง 1-2 ปีเทรดยากขึ้น ทำให้ลดการเดย์เทรดน้อยลง เพราะนอกจากนักลงทุนจะเก่งขึ้นแล้ว ก็ยังมีโรบอทเทรดด้วย AI เข้ามามีบทบาทในตลาดมากซื้อ-ขายเร็ว ปัจจุบันส่วนตัวจึงปรับสไตล์มาเน้นถือหุ้นยาวขึ้น 2-3 สัปดาห์ หรืออาจจะ 2-3 เดือน เลือกหุ้นที่ชอบและมีความถนัด โดยปัจจุบันนักลงทุนรายใหญ่ก็หันมาใช้กลยุทธ์แบบนี้

"มันไม่ไหวแล้วจะให้ออกไปรบทุกวัน ไม่มีความจำเป็นแล้ว นักลงทุนรายใหญ่แต่ละคนมีพอร์ตใหญ่ ไม่จำเป็นต้องออกไปลุยเหมือนในอดีต ต้องปรับมาลงทุนยาวขึ้น โดยส่วนตัวถ้ากราฟหุ้นสวย ก็อัดซื้อหุ้นเต็มพอร์ต แต่ช่วงไหนที่กลัว ก็ปรับเหลือถือหุ้นแค่ 20% ภาวะการลงทุนช่วงนี้เหตุการณ์ต่างๆเปลี่ยนเร็วมาก โดยเฉพาะคำพูดผู้นำสหรัฐฯ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็ว เป็นประเด็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด"เสี่ยป๋อง กล่าว

https://youtu.be/NxSsyDqrJ8k


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ