นางอภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า แนวโน้มของสินเชื่อรายย่อยของธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่เติบโตราว 10% ส่วนนหึ่งเป็นไปตามฤดูกาลปกติ ขณะที่การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่มีความชัดเจนแล้ว คาดว่าหลังจากนี้รัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันนโยบายและการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ออกมา ทำให้ความเชื่อมั่นกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น และมีการลงทุนที่ทำให้มีเมึดเงินกระจายเข้าไปในทุกภาคส่วน ส่งผลให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้นและมีการฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
อีกทั้งกลยุทธ์ของธนาคารในการขยายการให้บริการด้านดิจิทัลผ่าน Mobile Banking ในแอพลิเคชั่น SCB EASY ที่มีจำนวนผู้ใช้บริการในปัจจุบันเกือบ 10 ล้านราย และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 19 ล้านรายในสิ้นปีนี้ ซึ่งธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อผ่านช่องทาง SCB EASY และมีผู้สมัครใช้บริการเป็นจำนวนมาก ทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อในส่วนของ Digital Lending เติบโตได้เกินเป้าหมายของธนาคารที่ตั้งไว้
ประกอบกับการร่วมกับพันธมิตรสตาร์อัพชั้นนำอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือ GOJEK และ GET เชื่อว่าจะทำให้ธนาคารสามารถขยายฐานลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อรายย่อยผ่านฐานข้อมูลของพันธมิตร อย่างเช่น กลุ่มวินมอเตอร์ไซด์ที่เป็นผู้ให้บริการผ่าน GET ราว 20,000 ราย และกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารต่างๆ พร้อมทั้งสามารถต่อยอดไปที่สินเชื่ออื่นๆ ตามวัตถุประสงค์ของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้สินเชื่อรายย่อยของธนาคารมีการเติบโตได้ต่อเนื่อง ดังนั้น ธนาคารจึงมั่นใจว่าสินเชื่อรายย่อยในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้า 20%
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสินเชื่อบ้านในปี 62 ยังได้รับแรงกดดัจจากมาตรการ LTV ซึ่งทำให้เกิดการชะลอตัวของสินเชื่อบ้านในช่วงไตรมาส 2/62 ที่ผ่านมา ซึ่งยังคงต้องดูแนวโร้มในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะเป็นอย่างไร โดยที่ปี 62 ธนาคารคาดว่าสินเชื่อบ้านทั้งสินเชื่อปล่อยใหม่และสินเชื่อคงค้างของสินเชื่อบ้านจะทรงตัวจากปีก่อน โดยสินเชื่อปล่อยใหม่ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท ส่วนสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 6 แสนล้านบาท จากสินเชื่อคงค้างของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมดรวม 1 ล้านล้านบาท ซึ่งรวมกับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มีอยู่ 2.2 แสนล้านบาท และสินเชื่อไม่มีหลักประกันกว่า 6 หมื่นล้านบาท
ด้านแนวโน้มสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่อรายย่อยในพรึ่งปีแรกยังคงทรงตัว โดยที่ธนาคารยังเห็นสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้ของลูกค้าเพิ่มขึ้น ลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงชำระหนี้ตามปกติ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัวก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังการปล่อยสินเชื่อของธนาคารยังคงต้องมีความระมัดระวังอยู่ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน และเผชิญกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความไม่แน่นอน ทำให้ธนาคารต้องระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ และควบคุมคุณภาพหนี้ให้เป็นไปตามแผนที่จะควบคุม NPL ของสินเชื่อรายย่อยให้ต่ำกว่าปีก่อนที่ 2.6%
สำหรับการให้บริการผ่านแบงก์กิ้งเอเย่นต์ คือ เซเว่นอีเลฟเว่นในปัจจุบันมีจำนวนธุรกรรมเพิ่มขึ้นมาเป็น 10,000 รายการ/วัน จากช่วงแรกที่เปิดให้มีจำนวนธุรกรรมอยู่ที่ 5,000 รายการ/วัน ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับที่ดี โดยเฉพาะการฝากเงินที่มีลูกค้าเข้าไปฝากเงินผ่านเซเว่นฯมากกว่าการถอนเงิน และธนาคารมองว่าการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้แนวโน้มในอนาคตอาจจะมีการเพิ่มบริการอื่นๆเข้ามาให้บริการจากลูกค้ามากขึ้นกว่าการฝาก-ถอนในปัจจุบัน พร้อมกับยังคงเปิดโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรรายอื่นๆที่จะเข้ามาสนับสนุนการและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการให้บริการลูกค้าของธนาคาร