UV มั่นใจปีนี้ผลประกอบการโตก้าวกระโดดหลังขาย GOLD หมดรับรู้รายได้ภายใน Q4 ปี 61/62 หนุน D/E ลดต่ำกว่า 1 เท่าจาก 3 เท่า

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 19, 2019 17:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ยูนิเวนเจอร์ (UV) เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ (19 ก.ค. )เห็นชอบให้บริษัทขายหุ้นทั้งหมดในบมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) จำนวน 912.83 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 39.28% ให้กับบมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) ผ่านการทำคำเสนอซื้อของ GOLD ทั้งหมดของกิจการโดยสมัครใจ (Tender Offer) ในราคาเสนอซื้อ 8.50 บาท/หุ้น มูลค่ารวม 7.76 พันล้านบาท โดยที่กระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 14 ส.ค. 62 ซึ่งบริษัทจะรับรู้รายได้จากการขายหุ้นของ GOLD เข้ามาในไตรมาส 4 งวดปี 61/62

สำหรับเงินที่ได้จากการขายหุ้น GOLD ทั้งหมด แบ่งออกเป็นในส่วนรองรับการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นเงินปันผลของผลการดำเนินงานงวดปี 61/62 (1 ต.ค. 61-30 ก.ย. 62) จำนวน 1.9 พันล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ราว 0.97 บาท/หุ้น และอีกส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาเป็นเงินสดในมือราว 5.3 พันล้านบาท จะนำไปใช้เพื่อการลงทุนและเป็นกระแสเงินสดของบริษัท

โดยเงินที่จะนำมาใช้เพื่อลงทุนนั้น บริษัทแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกจะนำไปใช้รองรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษา ที่จะเข้ามาทดแทนรายได้ที่หายไปจากการขาย GOLD ซึ่งจะใช้เงินในการลงทุนสัดส่วน 50% ของเงินที่เตรียมไว้รองรับการลงทุน โดยธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาจะต้องให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย (IRR) ไม่ต่ำกว่า 8% ต่อปี

ส่วนที่ 2 บริษัทจะนำไปใช้ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีบริษัทลูก คือ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด ที่ดำเนินงานในส่วนของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวสูงเพื่อขาย ซึ่งจะต้องมีการนำเงินมาใช้รองรับการซื้อที่ดินและการพัฒนาโครงการ ซึ่งจะใช้เงินสัดส่วน 15%

ส่วนที่ 3 บริษัทจะนำเงินไปใช้ในการรองรับการลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนในระยะกลางถึงระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ และมี IRR ไม่ต่ำกว่า 8% ต่อปี เช่น การลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) การลงทุนในกองทุน การลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้น และการลงทุนในอสังหาริมทรัพยืเพื่อเช่า เช่น ธุรกิจโรงแรม ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโรงแรม MODENA by FRASER บุรีรัมย์ ที่บริษัทเป็นผู้พัฒนา มูลค่า 600 ล้านบาท จำนวน 152 ห้อง มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCC) ที่ 60-70% และตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็น 10% ภายในงวดปี 62/63 จากปัจจุบันอยู่ที่ 7% ซึ่งจะมีการขยายโรงแรม MODENA by FRASER บุรีรัมย์ เพิ่มเติมอีก

อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าการขาย GOLD ออกไปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในระยะยาวของบริษัท แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อรายได้ในระยะสั้นที่จะหายไป เนื่องจากที่ผ่านมา GOLD ที่พัฒนาโครงการแนวราบเพื่อขายมีสัดส่วนรายได้ที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทสูงราว 70% ของรายได้รวม ทำให้หลังจากการขาย GOLD ออกไปแล้วนั้นจะไม่มีรายได้ในส่วนนี้มา แต่ในระยะสั้นจะมีเงินที่ได้จากการขาย GOLD เข้ามาทดแทน ซึ่งทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด

นอกจากนี้การขาย GOLD ออกไป จะทำให้บริษัทมีภาระหนี้สินและภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาที่ GOLD มีการรุกการขยายการเติบโตค่อนข้างมาก ทำให้ปัจจุบัน GOLD ถือเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์แนวราบที่ติดตลาดแล้ว ส่งผลให้ GOLD มีการใช้เงินลงทุนที่มากทั้งการซื้อที่ดินมาเก็บไว้ และการใช้เงินในการพัฒนาโครงการ ทำให้มีการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินมาก และหากมีการลงทุนเพิ่มเติมก็อาจจะต้องมีการเพิ่มทุน ซึ่งหลังจากที่ได้ขาย GOLD ออกไปแล้ว บริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือไม่ถึง 1 เท่า จากปัจจุบันที่กว่า 3 เท่า ประกอบกับมีภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง และมีเงินที่จะนำไปต่อยอดหาโอกาสในการลงทุนใหม่ที่ให้ผลตอบแทนกลับมาให้กับบริษัท

นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานกรมการบริหาร UV กล่าวว่า การขาย GOLD ออกไปให้กับ FPT ในช่วงที่ GOLD มีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหลังจากที่บริษัทเข้าลงทุนใน GOLD มาราว 7 ปี ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เห็นพ้องเหมือนกันของทีมงานทั้งหมดในการขายครั้งนี้ แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากรายได้ของ GOLD ที่คิดเป็นสัดส่วนที่สูงมากใน UV แต่บริษัทก็ได้เงินเข้ามาเพื่อต่อยอดการลงทุนอื่นๆเข้ามาทดแทน เพื่อสร้างการเติบโตให้กับ UV และยังมีบริษัทที่ UV ลงทุนอื่นๆ รวมถึงแกรนด์ ยู ที่ยังสร้างรายได้เข้ามาให้กับ UV ต่อเนื่อง

การลงทุนในธุรกิจใหม่ของบริษัท่ในต่อนนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจาณา แต่ธุรกิจใหม่ที่บริษัทสนใจต้องสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งจะเป็นก้าวต่อไปของ UV ที่จะลงทุนในธุรกิจอื่นๆที่มีการกระจายตัวของประเภทธุรกิจมากขึ้น และไม่พึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป แต่การลงทุนในปัจจุบันต้องใช้การตัดสินใจและการวิเคราะห์ต่างๆอย่างระมัดระวังมาก เพราะปัจจุบันตลาดโลกในปัจจุบันมีความไม่แน่นอน และมีความผันผวน เศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว จากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้บริษัทจะต้องใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น ซึ่งต้องให้ความรอบคอบในการพิจารณาอย่างมาก เพื่อให้การลงทุนได้ผลตอบแทนกลับคืนมาอย่างคุ้มค่า แม้ว่าโอกาสในตลาดจะมีอยู่มากก็ตาม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ