4 นักวิเคราะห์แนะทางรอดกับ 4 หุ้นหลบภัย หนีระเบิดป่วนกรุงฯ-เทรดวอร์เดือด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 2, 2019 14:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

4 นักวิเคราะห์ เลือกหุ้นปลอดภัยและน่าสนใจด้านผลตอบแทนเพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนใช้เป็นแหล่งพักเงินหรือหลุมหลบภัยชั้นดีในยามที่ปัจจัยแวดล้อมเริ่มส่อแววไม่แน่นอน หลังจากภาพรวมตลาดหุ้นไทยส่งท้ายสัปดาห์นี้กลับมาผันผวนรุนแรง ด้วยปริมาณขายหนาแน่นกระจายในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม จากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศเข้ามาซ้ำเติมพร้อมกัน หลังจากหสรัฐฯออกมาขู่ว่าจะขึ้นภาษีกับจีนครั้งใหม่ ขณะที่ยังมีเหตุการณ์ระเบิดป่วนพื้นที่กรุงเทพฯหลายจุด ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่ยังอึมครึม นักลงทุนจะต้องปรับกลยุทธ์การเลือกหุ้นลงทุนอย่างไร ??

*"บัวหลวง"ชู BCPG หลบระเบิด-เทรดวอร์ แผนโรงไฟฟ้าใหม่ ซ่อนอัพไซด์เด่น

นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิจัย บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า จากการคัดเลือกหุ้นที่มีความปลอดภัยจากปัจจัยลบเหตุระเบิดหลายจุดในพื้นที่กรุงเทพฯและสงครามการค้า ฝ่ายวิจัยฯเลือกหุ้น บมจ.บีซีพีจี (BCPG) เนื่องจากเป็นหนึ่งในหุ้นเด่นที่เป็น Defensive Stock ประกอบกับด้านของ Valuation ยังไม่แพง มีอัพไซด์ในระยะถัดไป จากแนวโน้มรายได้และกำไรค่อนข้างมีความมั่นคงตามการรับรู้รายได้จากสัญญาขายไฟฟ้าที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ฐานะทางการเงินค่อนข้างแข็งแกร่งมีกระแสเงินสดกว่า 2 พันล้านบาท หนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำเพียง 1 เท่า เพียงพอต่อการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมในอนาคต

นอกจากนั้น ยังมองว่า BCPG เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเดียวในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ยังไม่เปิดเผยแผนโครงการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ออกมาชัดเจน ทำให้เชื่อว่าหากมีความชัดเจนเรื่องโครงการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้ารอบใหม่ จะเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นให้ราคาหุ้น BCPG กลับมา Outperform ได้รอบใหม่

"ถ้าต้องเลือกหุ้นที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้ เรามอง BCPG ค่อนข้างปลอดภัยที่สุด เพราะผลประกอบการเติบโตตามกำลังการผลิตจ่ายไฟฟ้า มีโครงการลงทุนในต่างประเทศ มีสถานะการเงินที่ดี และยังเป็นโรงไฟฟ้ารายเดียวที่ยังไม่ประกาศแผนเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ จึงมองเป็นอัพไซด์ที่ตลาดยังไม่รับรู้ในราคาหุ้นวันนี้"นายวิกิจ กล่าว

นายวิกิจ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้อยู่ระหว่างปรับฐาน จากความกังวลประเด็นสงครามการค้า และสถานการณ์ในประเทศยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ แต่การปรับฐานจะไม่รุนแรง เนื่องจากตลาดฯได้ปรับตัวมาพอสมควรแล้ว สะท้อนได้จากหุ้นที่เคยเป็นกลุ่มนำธีม Global Play เช่น ธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น โดนบั่นทอนมาระดับหนึ่งก่อนจะโยกเงินมาพักในหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงผลกระทบเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว

ประกอบกับถ้าการเมืองไทยไม่ยกระดับรุนแรงเท่ากับประเทศฮ่องกง ก็เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยไม่น่าจะหลุดระดับแนวรับสำคัญ 1,650-1,670 จุด แต่มองว่าจะปรับขึ้นได้จำกัดเช่นกัน เพราะหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศมูลค่ามาเก็ตแคบมีน้ำหนักน้อยในการผลักดันการปรับขึ้นของดัชนีฯ อย่างไรก็ตาม มองว่าในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ได้อ่อนแออย่างที่นักลงทุนกังวล ตัวแปรจากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะกลับมาเป็นปัจจัยผลักดัน Sentiment ของตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป

*"กสิกรไทย" เลือก TFFIF หลุมหลบภัยชั้นดี ปลอดภัยระยะยาว

นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการกรองหุ้นที่มีความปลอดภัยเพียง 1 ตัวในช่วงนี้ หุ้นที่มีความน่าสนใจมากที่สุดคือ TFFIF หรือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย เนื่องจากมีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ภายหลังจากได้รับประโยชน์ชัดเจนภายใต้แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ประกอบกับมีความโดดเด่นด้านอัพไซด์ของ Valuation บนกระดานซื้อขายจากปัจจุบันให้ราคาพื้นฐานที่ 13.31 บาท และผลตอบแทนรูปเงินปันผลคาดมากกว่า 3%

นอกจากนี้ มีปัจจัยบวกระยะสั้นจากกรณีสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เตรียมเสนอกองทุน LTF รูปแบบใหม่แก่รัฐมนตรีคลังในสัปดาห์หน้า โดยเงื่อนไขการลงทุน LTF รูปแบบใหม่สัดส่วน 65% จะกระจายเงินมาลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ,หุ้นยั่งยืน,และหุ้น SME

ทั้งนี้ หากเป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว ก็จะทำให้มีกระแสเงินไหลเข้ามาใน TFFIF เพิ่มขึ้น ประกอบกับในปี 63 ทางการมีแผนขายสินทรัพย์ทางด่วนมอเตอร์เวย์สาย 7 และ 9 มูลค่า 5 หมื่นล้านบาทเข้าไปในกองทุนฯรอบใหม่ ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท

*"เคที ซีมิโก้" แนะ TTW แหล่งพักเงินเพิ่มมูลค่า ปันผลเกิน 5%

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ ความเชื่อมั่นนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มถูกบั่นทอนจากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนหันมาถือเงินสดมากขึ้น แต่ถ้ามองหุ้นที่เป็นแหล่งพักเงินและได้ผลตอบแทนจากการลงทุน

ฝ่ายวิจัยฯเลือกหุ้น บมจ.ทีทีดับบลิว (TTW) เพราะติดอันดับต้นๆของหุ้นที่มีปันผลดี มีรายได้และกำไรค่อนข้างมั่นคง และเชื่อว่าในปีนี้น่าจะได้รับประโยชน์จากปัญหาภัยแล้ง หนุนปริมาณขายน้ำเพิ่มขึ้น ปัจจุบันในเชิง Valuation ยังมีอัพไซด์จากราคาพื้นฐานที่ 15.10 บาท ทั้งนี้ ผลตอบแทนจากเงินปันผลปี62 รวมกับปันผลระหว่างกาลแล้วจะมี Dividend Yield มากกว่า 5% หรือจ่ายในอัตรา 0.71 บาท/หุ้น

*"โนมูระ พัฒนสิน"มอง AMATA หุ้นชนะเทรดวอร์ กำไรโตสนั่น

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า แม้ว่าตลาดมีปัจจัยลบใหม่คือเหตุการณ์ระเบิดหลายจุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และประเด็นสงครามการค้า ที่มีผลกระทบเชิงลบกับ Sentiment ตลาดหุ้นไทย ในมุมมองการเลือกหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯชอบกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) เพราะได้รับประโยชน์จากสงครามการค้า

ภายหลังจากมีรายงานหน่วยงานเศรษฐกิจของสหรัฐฯวิเคราะห์ว่า แม้สงครามการค้าจะสร้างผลกระทบเศรษฐกิจโลก แต่บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯหลายแห่งยังมีสถานะการเงินแข็งแกร่ง และเริ่มมองว่ากระทบสงครามการค้ามีความเสี่ยงจำกัดแล้ว ดังนั้นเชื่อว่าในระยะถัดไปจะเห็นการย้ายฐานการผลิตของบริษัทขนาดใหญ่หลายรายในสหรัฐฯเข้ามาในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทยที่จะได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตในรอบนี้ด้วย

ปัจจุบัน ยังคงน้ำหนักบวกในหุ้น AMATA เพราะแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/62 จะอยู่ที่ 390 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 390% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Y/Y) และ 28% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ (Q/Q) มาจากการโอนที่ดินที่เพิ่มขึ้น 154 ไร่ ขณะที่ยังมองแนวโน้มกำไรปกติครึ่งปีหลัง คาดเพิ่มขึ้นทั้ง Y/Y และ H/H จากรายได้การขายที่ดิน และส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรปกติปีนี้คาดโตโดดเด่น 51% Y/Y

ทั้งนี้ มองว่ายังมีอัพไซด์ที่น่าสนใจ ภายหลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/62 แล้ว ฝ่ายวิจัยฯจะปรับมาใช้ราคาพื้นฐานของปี 63 อยู่ที่ 28.80 บาท จากปัจจุบัน 25.50 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ