(เพิ่มเติม) ESSO คาดปริมาณขายปลีกน้ำมันปีนี้โตกว่าตลาดที่คาดขยายตัว 2-3% หลังขยาย-ปรับปรุงปั๊ม ,ออกน้ำมันเกรดใหม่หนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 27, 2019 14:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายมาโนช มั่นจิตจันทรา กรรมการและผู้จัดการฝ่ายการตลาดขายปลีก บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าปริมาณการขายปลีกน้ำมันปีนี้เติบโตมากกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะขยายตัว 2-3% เป็นผลจากการปรับปรุงและขยายสถานีบริการน้ำมัน รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์น้ำมันเกรดใหม่ภายใต้เทคโนโลยี"ซีเนอร์จี้"และการมีพันธมิตรการค้าเพิ่มเติม ตลอดจนการมีฐานข้อมูลลูกค้าจากการขยายบัตรสมาชิกบัตรสะสมคะแนน "เอสโซ่ สไมล์ส" เพิ่มเป็น 3 ล้านบัตรในสิ้นปีนี้ จาก 2.5 ล้านบัตรในขณะนี้

ทั้งนี้ บริษัทวางแผนจะใช้งบลงทุนราว 2-3 พันล้านบาท/ปี เพื่อขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 700 แห่งในอีก 2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มี 617 แห่ง และจะเพิ่มเป็น 640 แห่งในสิ้นปีนี้ โดยเน้นขยายสถานีบริการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และกรุงเทพฯรอบนอก ขณะที่จะมีการปิดสถานบริการราว 10-15 แห่ง/ปี

"ปีที่แล้วปริมาณขายเราอยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านลิตร ปีนี้จีดีพีโต 2-3% เราก็คาดตลาดจะโต 2-3% เราก็คาดว่าเราต้องโตมากกว่าตลาดแม้การแข่งขันจะยังมีความรุนแรง"นายมาโนช กล่าว

นายมาโนช กล่าวว่า วันนี้บริษัทได้เปิดตัวน้ำมันสูตรใหม่ภายใต้เทคโนโลยี"ซีเนอร์จี้" (Synergy Fuels Technology) จากเอ็กซอนโมบิล สำหรับน้ำมัน 6 สูตรทั้งเก๊สโซฮอล์ และดีเซล เพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำมันคุณภาพสูงสอดรับกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะช่วยปกป้องเครื่องยนต์ โดยเฉพาะน้ำมันคุณภาพพรีเมียม ทั้งซูพรีมพลัส แก๊สโซฮอล์ 95 และซูพรีมพลัส ดีเซล สามารถปกป้องเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าและทำให้เครื่องยนต์สะอาดมากขึ้น 30% เพิ่มอัตราเร่งและตอบสนองเครื่องยนต์ที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้จากการทดสอบอัตราการประหยัดสำหรับน้ำมันดีเซล พบว่าสามารถประหยัดได้ราว 3%

การออกน้ำมันสูตรใหม่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกหลังจากได้ออกน้ำมันสูตรซูพรีม แก๊สโซฮอล์ 95 เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยเชื่อว่าน้ำมันสูตรใหม่นี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค หลังการเปิดตัวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก่อนหน้านี้ มียอดขายรวมเติบโต 3% โดยเฉพาะน้ำมันคุณภาพพรีเมียมมียอดขายเติบโตมากกว่า 10% ขณะที่เชื่อว่าการเปิดตัวน้ำมันสูตรใหม่ในไทยจะทำให้มียอดขายเติบโตได้มากกว่า 3% และยังครองอันดับส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันในระดับ 13% ด้วยความแข็งแกร่ง รั้งอันดับ 3 ของผู้ค้าน้ำมันขายปลีกในไทย

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมใช้งบการตลาดราว 40-50 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดน้ำมันสูตรใหม่จากเทคโนโลยีซีเนอร์จี้ ซึ่งนับเป็นการใช้งบการตลาดสูงสุด ขณะเดียวกันยังมีแผนจะใช้งบ 600-700 ล้านบาทเพื่อปรับโฉมสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศให้กลายเป็นรูปแบบซีเนอร์จี้ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของสถานีบริการเอ็กซอนทั่วโลก ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 70% จากสถานีบริการน้ำมันที่มีอยู่ 617 แห่งทั่วประเทศ คาดว่าสถานีบริการน้ำมันที่เหลือจะปรับโฉมเสร็จภายในต้นปี 63

สำหรับการขายน้ำมันจากเทคโนโลยีซีเนอร์จี้ จะใช้ครอบคลุม 6 สูตร ได้แก่ ซูพรีมพลัส แก๊สโซฮอล์ 95 ,ซูเปอร์ แก๊สโซฮอล์ 95 ,เอ็กซ์ตร้า แก๊สโซฮอล์ 91 ,เอ็กซ์ตร้า แก๊สโซฮอล์ E20 ,ซูพรีมพลัส ดีเซล และดีเซล ซึ่งเป็นน้ำมันดีเซล B7 แต่ยังไม่ครอบคลุมน้ำมันดีเซล B20 ที่ปัจจุบันมีการจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมัน 80 แห่ง และมีแผนจะขยายเพิ่มเป็น 150 แห่งภายในสิ้นปีนี้

ส่วนการที่รัฐบาลมีแผนจะให้น้ำมันดีเซล B10 เป็นเกรดมาตรฐาน แทนน้ำมันดีเซล B7 ในปัจจุบันนั้น บริษัทก็พร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล แต่ปัจจุบันน้ำมันดีเซล B10 ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับของรถยนต์ค่ายยุโรปทั้งหมด ทำให้บริษัทยังอยู่ระหว่างทดสอบในห้องแล็ปเพื่อนำเทคโนโลยีซีเนอร์จี้เข้ามาใช้สำหรับน้ำมันดีเซล B10 เพื่อเตรียมตัวรองรับการใช้ในอนาคต

นายมาโนช กล่าวว่า สำหรับการทำธุรกิจ non-oil นั้นจะเป็นลักษณะการดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรในด้านต่าง ๆ โดยมีพันธมิตรที่สำคัญ อย่างสตาร์บัค, KFC, Kerry, FamilyMart, Coffee Boy, Rabika Coffee เป็นต้น เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าที่มีความต้องการสินค้า non-oil เพิ่มมากขึ้น

ด้านนายยอดพงศ์ สุตธรรม ผู้จัดการโปรแกรมการตลาด การตลาดน้ำมันภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท เอ็กซอนโมบิล จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดตัวน้ำมันจากเทคโนโลยีซีเนอร์จี้ในไทยครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวเทคโนโลยีซีเนอร์จี้ทั่วโลก ซึ่งได้เปิดตัวไปก่อนแล้วในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กวม ไซปัน และนิวแคลิโดเนีย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ขณะที่ปริมาณการขายน้ำมันค้าปลีกในไทยนับเป็นสัดส่วน 30-40% ของภูมิภาคนี้ ทำให้เอ็กซอนโมบิล ให้ความสำคัญกับการลงทุนในไทยต่อเนื่อง

ส่วนการจำหน่ายน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น จะต้องมีการลงทุนเพื่อปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันซึ่งเอ็กซอน มีทีมงานเพื่อศึกษาและเตรียมตัวที่จะผลิตน้ำมันเพื่อให้ตามมาตรฐานที่ประเทศไทยกำหนดอยู่แล้ว แต่การจะลงทุนเพื่อเตรียมตัวก่อนนั้นก็จะต้องพิจารณาจุดที่เหมาะสมและคุ้มทุนด้วย

สำหรับทิศทางการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแม้คาดว่าจะมีมากขึ้นในอนาคต แต่ในช่วง 20 ปีข้างหน้าก็ยังมองว่าความต้องการหลักของพลังงานในประเทศจะยังคงมาจากน้ำมันดิบ แม้จะมีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งในส่วนของยานยนต์ไฟฟ้า หรือเอทานอล แต่การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันหลักก็จะยังคงมีอยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม เอ็กซอนก็ได้ทดลองติดตั้งสถานีชาร์จรองรับยานยนต์ไฟฟ้า ในยุโรปและเอเชียบ้าง แต่พบว่าการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกส่วนใหญ่ 95% เป็นการชาร์จในที่อยู่อาศัย ส่วนอีก 5% เป็นการชาร์จตามศูนย์บริการ หรืออาคารสำนักงาน ทำให้เอ็กซอนยังคงจับตามองอยู่ แต่เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาสมควรที่จะเข้าลงทุนมากนัก แต่หากตลาดมีความต้องการมากขึ้นก็เชื่อว่าเอ็กซอนก็มีความพร้อมที่จะดำเนินการได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ