ทิสโก้เวลธ์ แนะลงทุน REIT-หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ รับมือศก.ส่งสัญญาณถดถอย ชูจุดเด่นเงินปันผล-รอดพ้นช่วงวิกฤต

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 18, 2019 11:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ (TISCO) เปิดเผยว่า สัญญาณบ่งบอกถึงเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเริ่มมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หลังอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ทำให้ทิสโก้เวลธ์ยังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องไปกับกระแสหลักของโลก หรือ หุ้นกลุ่ม Megatrend เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้มักจะไม่ผันผวนไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจ

โดยมีสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจลงทุน 2 กลุ่ม คือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ได้ประโยชน์จากกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองหลวงและเขตหัวเมืองใหญ่ หรือ Urbanization และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ (Healthcare) ที่ได้ประโยชน์จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของหลายประเทศทั่วโลก

ทั้งนี้ จุดเด่นของการลงทุนใน REIT คือสามารถจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล (Dividend) ได้ในระดับสูง สม่ำเสมอและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) ในระดับสูงเหมือนกับการลงทุนในหุ้น แต่มีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น พร้อมทั้งมีโอกาสเติบโตจากการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองหลวงและเขตหัวเมืองใหญ่

หากอ้างอิงจากผลวิจัยขององค์การสหประชาชาติ (United Nation) บ่งชี้ว่า ในปี 2593 (31 ปีข้างหน้า) ประชากรโลกจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงและเขตหัวเมืองใหญ่เพิ่มเป็น 68.36% เติบโตจากระดับเพียง 29.61% ในปี 2493 นำโดยสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นจาก 53.4% และ 76.16% ในปี 2493 เพิ่มขึ้นเป็น 94.71% และ 90.97% ในปี 2593 ตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลบวกโดยตรงต่อราคาและความต้องการเช่าพื้นที่ของอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ค่าเช่าในภาพรวมเติบโตสูงขึ้นและส่งผ่านมายังผลประกอบการของกองทุน Global REIT

ส่วนข้อดีของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ คือ สามารถรอดพ้นจากการปรับตัวลดลงอย่างหนักของตลาดหุ้นได้ในทุกช่วงวิกฤต โดยในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ทั้ง 3 ครั้งในปี 2533, 2544 และ 2551 กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 9%, 9% และ 4% ตามลำดับ ในขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนของบริษัทในดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลงถึง 28%, 22% และ 36% ตามลำดับ

และในช่วงปี 2543 และปี 2551 นั้น ราคาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ในตลาด S&P500 ปรับตัวลดลงเพียง 2% และ 17% ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวลดลง 33% และ 40% ตามลำดับ สะท้อนว่าหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์สามารถทำผลการงานได้ดีกว่าถึง 31% และ 23% เลยทีเดียว

นายณัฐกฤติ กล่าวว่า เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐฯ เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลงของการจ้างงาน ล่าสุดในเดือนสิงหาคมตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดประมาณ 20,000 ตำแหน่ง ซึ่งหากการจ้างงานยังไม่ฟื้นตัวก็จะส่งผลกดดันต่อการบริโภคภาคเอกชนในที่สุด ส่วนทางด้านเศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกนั้นพบว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้ขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 17 ปี โดยขยายตัวเพียง 4.8%

สำหรับเศรษฐกิจเยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซนก็เริ่มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และการชะลอตัวของอุปสงค์โลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเยอรมนีหดตัวในไตรมาส 2 และมีแนวโน้มหดตัวต่อในไตรมาสที่ 3 นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงเรื่องผลความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนในการเจรจากรณีการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) รออยู่ข้างหน้า ทำให้เมื่อเร็วๆ นี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโลกปี 2562 จากระดับ 3.6% เป็น 3.3% ขณะที่ราคาหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากราว 15-20% สวนทางกับการคาดการณ์ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะชะลอตัวลง

ด้านนางวรสินี เศรษฐบุตร หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ปัจจุบันทิสโก้เวลธ์มีสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset under Advice: AUA) เฉพาะส่วนของกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเกี่ยวกับเฮลธ์แคร์ และ REIT กว่า 3,200 ล้านบาท โดยตั้งเป้าในปี 2563 จะมี AUA รวมเพิ่มขึ้น 10% โดยเป็นการเติบโตจากสินทรัพย์ภายใต้การให้แนะนำ และการขยายกลุ่มลูกค้าไปยังลูกค้าระดับกลางมากขึ้น จากเดิมจะเน้นลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูงเป็นหลัก พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการซื้อขายสับเปลี่ยนกองทุนผ่านแอพพลิเคชันซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2563


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ