SATTEL คาดปี 51 รายได้โต 30%จาก iPSTAR โตดี,พลิกมีกำไรจากการดำเนินงาน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 22, 2008 10:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

           นายธนฑิต เจริญจันทร์ รองกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานการเงินและบัญชี บมจ. ชินแซทเทลไลท์ (SATTEL) คาดว่าในปี 51 บริษัทฯ จะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% โดยส่วนใหญ่รายได้จะมาจากการเติบโตของยอดขายอุปกรณ์ปลายทาง iPSTAR (IPSTARUser Terminal: UT) และรายได้จากการให้เช่าช่องสัญญาณ (Bandwidth)ของ iPSTAR ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมียอดการใช้(Utilization rate)ดาวเทียม iPSTAR เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 12% จาก 6% ในปีก่อน 
บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้จะสามารถพลิกกลับมามีกำไรจากการดำเนินงานได้ จากที่ปีก่อนขาดทุนจากการดำเนินงาน 560 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 49 ที่ขาดทุน 330 ล้านบาท แต่โดยภาพรวมกำไรสุทธิของบริษัทคงจะลดลงจากปี 50 เนื่องจากในปีก่อนบริษัทฯ ได้กำไรจากการขายหุ้น Shenington ในสัดส่วน 49% ทำให้มีกำไรสุทธิ 3,040 ล้านบาท เทียบกับปี 49 ที่ภาพรวมขาดทุน 46 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังคาดว่าในปีนี้ บริษัทฯ จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากแข็งค่าของค่าเงินบาท ซึ่งในปี 50 บริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,050 ล้านบาท
นายธนฑิต คาดว่าในปีนี้ยอดขายทุกส่วนจะเพิ่มขึ้น โดยยอดขายอุปกรณ์ปลายทาง(UT)จะเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 แสนชุด จากปีก่อนที่ขายได้ 38,011 ชุด ซึ่ง ณ สิ้นปี 50 บริษัทมียอดผู้ใช้ UT และส่งมอบแล้วประมาณ 104,067 ชุด และคาดว่าในสิ้นปีนี้ยอดผู้ใช้ UT จะเพิ่มขึ้น 2-2.5 แสนชุด คาดว่าดาวเทียม iPSTAR จะถึงจุดคุ้มทุนในสิ้นปีนี้ หรืออย่างช้ากลางปี 52
ในไตรมาสที่ 1/51 นี้ บริษัทฯ คาดว่าจะมียอดสั่งซื้อ UT ประมาณ 2.5-3 หมื่นชุด รวมยอดขายให้กับ บมจ.ทีโอที จำนวน 1.1 หมื่นชุด ซึ่งยอดขายดังกล่าวถือว่าดีกว่าแผนที่บริษัทตั้งไว้
บริษัทยังคาดว่าจะมียอดขายจานรับสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม (DTV) และอุปกรณ์ ที่คาดว่าจะขายได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 5 แสนชุด และหากบริษัทมี content ที่ดีขึ้น ก็อาจขายได้ถึง 1 ล้านชุด จากปีก่อนที่มียอดขาย 101,167 ชุด (เป็นยอดขายในช่วง 6 เดือนหลังของปี 50)
สำหรับ ธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกัมพูชาและลาว คาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการในกัมพูชาจะเติบโตอีก 2 เท่าตัว จากสิ้นปี 50 ที่มียอดผู้ใช้บริการ 475,435 ราย และในลาวคาดว่าจะเติบโตอีก 30-40% จากสิ้นปี 50 มีผู้ใช้บริการ 786,075 ราย โดยปีนี้บริษัทจะลงทุนระบบ 3จี และขยายเครือข่าย (network) ในกัพูชา จำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
"ปีนี้กำไรก็คงจะดี เพราะเรา gain exchange และความสามารถในการขายไอพีสตาร์ก็ดีขึ้น เขมรกับลาวก็เติบโตได้ดี ยอดขาย DTV ในปีนี้ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว จากปีก่อน 240 กว่าล้าน เพราะฉะนั้น รายได้ในปีนี้เราไม่ห่วง ส่วนต้นทุนของทาง SATTELและ iPSTAR คงไม่มีต้นทุนอะไรเพิ่มขึ้น" นายธนฑิต กล่าว
นายธนทิต กล่าวอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนไทยคม 6 เพื่อจะได้ดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มี 2 แนวทาง ได้แก่ ไปเช่า หรือซื้อดาวเทียมที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือ ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจลงทุนสร้างดาวเทียมใหม่และแบ่งให้ใช้ตามสัดส่วนของเงินลงทุน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปี 51 หรือต้นปี 52 เป็นอย่างช้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะสร้างไทยคม 6 ก็ต่อเมื่อมีความต้องการจากลูกค้า เพราะเราได้ประสบการณ์จาก iPSTAR ที่เราลงทุนก่อนทำการตลาด ซึ่งทำให้ผู้ถือหุ้นเดือดร้อน
ปัจจุบันดาวเทียมที่บริษัทให้บริการนอกเหนือจาก iPSTAR คือ ดาวเทียมไทยคม 1, 2 และ 5 ซึ่งมียอดการใช้โดยรวม 70% ของ capacity ทั้งหมด โดยขณะนี้ดาวเทียมไทยคม 5 ที่รองรับธุรกิจ broadcast และให้บริการ HDTV เพื่อให้ภาพคมชัดสูง ได้ทยอยมีลูกค้าเพิ่มขึ้น ส่วนดาวเทียม iPSTAR ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ชำระหนี้ไปแล้ว 142 ล้านเหรียญ ซึ่งส่วนหนึ่งได้เงินมาจากการขายเงินลงทุน และต่อจากนี้จะจ่ายตามปกติ โดยปีนี้จะจ่าย 20 ล้านเหรียญ ทั้งนี้ ปัจจุบันดาวเทียม iPSTAR มีหนี้เหลืออยู่ 118 ล้านเหรียญ จากทั้งหมดที่ลงทุน 260 ล้านเหรียญ
ด้านนายปฐมภพ สุวรรณศิริ ผู้อำนวยการสำนักการตลาด iPSTAR กล่าวว่า ในปีนี้ iPSTAR จะเติบโตจากตลาดใหญ่ คือ จีนและอินเดีย โดยอินเดียขณะนี้คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในปลายไตรมาสที่ 2/51 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเข้าอุปกรณ์ gateway ซึ่งจากการทำ presale ในอินเดีย คาดว่าจะมีความต้องการสูง โดยเฉพาะจากหน่วยงานของรัฐ ส่วนในจีน ขณะนี้บริษัทได้เสนอขายโครงการขนาดใหญ๋ในการใช้ iPSTAR ให้กับหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะได้รับคำตอบเมื่อใด
ทั้งนี้ ดาวเทียม iPSTAR มี capacity รองรับตลาดจีน 25% ส่วนตลาดอินเดีย มี 18%
ปัจจุบัน iPSTAR ให้บริการทั้งหมด 14 ประเทศ ในปีนี้บริษัทฯ มองว่าตลาดในไทย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เวียดนาม กัมพูชา และพม่า ยังไปได้ดี ส่วนตลาดมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายใน 1-2 เดือนนี้ ส่วนเกาหลี คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณไตรมาสที่ 2/51 และ ในญี่ปุ่นและไต้หวันจะเริ่มให้บริการได้ในไตรมาสที่ 4/51
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเชื่อว่ามีโอกาสที่จะขาย UT ให้บมจ.ทีโอที ได้เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีคำสั่งซื้อจากทีโอทีเข้ามา
"ยอดขายที่ทีโอทียังไปได้ดีมาก เพราะสิ่งที่เค้าซื้อไปเพื่อรองรับตัวบอร์ดแบนด์ ถือเป็นแชมเปี้ยนธุรกิจของเค้า" นายปฐมภพ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ