"เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น"ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 69 ล้านหุ้น เข้าตลาด mai, ใช้ขยายสาขา-คืนเงินกู้-เป็นทุนหมุนเวียน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 30, 2019 10:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 69 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 30.00 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีบล.เคทีบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนในการขยายร้านสาขาเคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ และชำระคืนเงินกู้แก่สถาบันการเงิน รวมถึงเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ

บริษัทฯประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค โดยธุรกิจค้าปลีกเป็นการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านร้านสาขาชื่อ "เค. แอนด์ เค. ซุปเปอร์สโตร์" จำนวน 26 สาขา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดสงขลา พัทลุง และสตูล รวมถึงบริษัทฯ มีศูนย์กระจายสินค้าจำนวน 1 แห่งในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และเป็นสถานที่กระจายสินค้าให้แก่ร้านสาขาของบริษัทฯ ทั้งนี้ ด้วยการดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในพื้นที่จังหวัดสงขลามาเป็นระยะเวลามากกว่า 27 ปี ทำให้บริษัทฯ มีความเข้าใจในวิถีการดำเนินชีวิตและความต้องการสินค้าของคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี บริษัทฯ มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด "ซื้อของครบ พบของถูก ถูกทุกวัน ที่ K&K ทุกสาขา ใกล้บ้านคุณ"

ทั้งนี้ บริษัทฯ จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่า 8,000 รายการ ในรูปแบบสินค้าปลีก สินค้าเป็นแพ็ค และสินค้าเป็นลัง เพื่อรองรับความต้องการสินค้าในรูปแบบต่างๆ ของลูกค้าที่มาซื้อสินค้าในร้านสาขา และลูกค้าค้าส่งที่ต้องการซื้อสินค้าไปเพื่อจำหน่ายต่อ ทั้งนี้ ลักษณะสินค้าของบริษัทฯ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ สินค้าอุปโภค และสินค้าบริโภค โดยมีช่องทางการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวน 2 ช่องทาง ได้แก่ การจำหน่ายสินค้าผ่านร้านสาขา และการจำหน่ายสินค้าค้าส่งผ่านศูนย์กระจายสินค้า

ผลการดำเนินงานของบริษัท ณ วันที่ 30 มิ.ย.2562 มีสินทรัพย์รวม 307.89 ล้านบาท หนี้สินรวม 214.56 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 93.33 ล้านบาท โดยในปี 2559 – 2561 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 941.57 ล้านบาท 929.21 ล้านบาท 938.97 ล้านบาท และ 452.18 ล้านบาท ตามลำดับ

โดยในปี 2559-2561 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 953.37 ล้านบาท 951.82 ล้านบาท และ 962.33 ล้านบาท และ 456.06 ล้านบาท โดยมีรายได้จากค้าปลีกจำนวน 773.13 ล้านบาท 731.45 ล้านบาท และ 783.11 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 81.09 ร้อยละ 76.85 และร้อยละ 81.38 ของรายได้รวม ตามลำดับ ในปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้จากค้าปลีกลดลงจากปีก่อนหน้ามีสาเหตุจากภาวะเศรฐกิจของภาคใต้ที่ชะลอตัว ซึ่งได้รับผลกระทบมาจากการปรับลดลงของราคายางพาราและราคาน้ำมันปาล์ม ประชาชนส่วนใหญ่ในจังหวัดสงขลาประกอบอาชีพเกษตรกรรมซึ่งได้รับผลกระทบดังกล่าว ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าน้อยลง

ส่วนปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากค้าปลีกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า มีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากร้านสาขาเดิมที่เป็นผลมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขยายร้านสาขาใหม่จำนวน 3 สาขาในปีนี้ ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้จากค้าปลีกจำนวน 376.80 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า มีสาเหตุหลักจากเดือนธันวาคม 2561 ร้านค้าปลีกรายอื่นๆ ในจังหวัดสงขลาได้เข้าร่วมโครงการสวัสดิการแห่งรัฐและติดตั้งเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีทางเลือกในการเข้าซื้อสินค้าในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้หลากหลาย จึงส่งผลให้รายได้จากค้าปลีกในงวดนี้ลดลง

ในปี 2559 – 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากค้าส่งจำนวน 168.43 ล้านบาท 185.62 ล้านบาท และ 155.85 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้จากค้าส่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า มีสาเหตุหลักจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับลูกค้าค้าส่งเพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค ในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากค้าส่งลดลงจากปีก่อนหน้า มีสาเหตุหลักจากผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกซื้อสินค้าในร้านค้าที่สามารถชำระเงินค่าสินค้าด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ และงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้จากค้าส่ง จำนวน 75.38 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทฯ ไม่มีแผนการขยายฐานลูกค้าค้าส่ง เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมาร้านค้าปลีกที่เป็นลูกค้าค้าส่งในพื้นที่จังหวัดสงขลาและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงมีจำนวนลดลง อีกทั้ง บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นการขยายธุรกิจโดยการเปิดร้านสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปีให้ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในพื้นที่ใกล้เคียงได้สะดวกมากขึ้น ดังนั้น รายได้จากค้าส่งอาจจะลดลงในอนาคต

ปี 2559 – 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 16.91 ล้านบาท 17.90 ล้านบาท และ 16.26 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า มีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นและการเพิ่มขึ้นรายได้อื่นในส่วนของรายได้ค่าเช่าพื้นที่หัวชั้นและกองโชว์ ส่งผลให้กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า

ในปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนหน้า มีสาเหตุหลักจากการลดลงของกำไรขั้นต้น และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเปิดร้านสาขาใหม่ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่า เป็นต้น ส่งผลให้กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า

งวด 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 8.19 ล้านบาท ซึ่งกำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนหน้ามีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและค่าใช้จ่ายสำหรับร้านสาขาที่เปิดใหม่ รวมถึงค่าเสื่อมราคาอาคารและอุปกรณ์ในร้านสาขาที่เปิดใหม่ในปี 2561 จำนวน 3 สาขา และในปี 2562 จำนวน 1 สาขา

โครงการในอนาคต บริษัทฯ มีแผนการขยายร้านสาขาอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นเปิดร้านสาขาในพื้นที่จังหวัดสงขลา พัทลุง สตูล และจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ ทั้งนี้ ในปี 2563 บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายร้านสาขาจำนวน 3 สาขา คือ อ.นาหม่อม และ อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และอ.เมือง จังหวัดพัทลุง โดยมุ่งเน้นการเช่าที่ดินเพื่อเปิดร้านสาขาเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเฉลี่ยประมาณ 4 - 5 ล้านบาทต่อสาขา

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 115,000,000 บาท โดยมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วจำนวน 80,500,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 161,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเต็มมูลค่าเท่ากับ 115,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 230,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 10 ก.ย.2562 คือ กลุ่มสิริธนนนท์สกุล ถือหุ้น 161 ล้านหุ้น คิดเป็น 100% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 70%

บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ