นายสงกรานต์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดและการขาย บมจ.เจ เอส พี พร็อพเพอร์ตี้ (JSP) เปิดเผยว่า บริษัทได้วางกลยุทธ์แผนสร้างความแข็งแรงเพื่อยกระดับก้าวขึ้นเป็นบริษัทผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยในประเภทโครงการแนวราบ ติดอันดับ 1 ใน 5 ของอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายในระยะเวลา 2-3 ปีต่อจากนี้ โดยดำเนินการปรับภาพลักษณ์องค์กร สร้างการจดจำ JSP แบบใหม่ ที่มีความโมเดิร์น ทันสมัย ทั้งโลโก้และสินค้า รวมถึงในด้านการให้บริการการดูแลลูกค้า ภายใต้แนวคิด ‘บ้านที่คิดเพื่ออยู่ได้จริง พร้อมส่งมอบความคุ้มค่าแก่ผู้อยู่อาศัย’ พร้อมกับหันมาเน้นจับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนรุ่นใหม่เป็นหลัก และตั้งเป้าภายใน 3 ปี สามารถทำยอดขายรวมแตะ 1.9 หมื่นล้านบาท
โดยในปี 62 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3 พันล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทำยอดขายได้แล้วเกือบ 3 พันล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/62 บริษัทมั่นใจว่าจะทำยอดขายได้อีก 1 พันล้านบาท เพื่อทำให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย โดยที่บริษัทจะมีการออกแคมเปญพิเศษในไตรมาสสุดท้ายนี้ คือ JSP READY MOVE เพื่อเร่งยอดขายด้วยแคมเปญสุดพิเศษที่มอบโปรโมชั่นและของแถมต่าง ๆ ให้กับลูกค้าพร้อมกับระบายสต็อกของบริษัททั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบมูลค่า 4 พันล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 3 พันล้านบาท และโครการแนวราบ 1 พันล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทประเมินว่ารายได้ไนปีนี้จะทำได้กว่า 3.5 พันล้านบาท โดยที่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอนเข้ามาทั้งหมดราว 600 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในส่วนของผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทคาดว่าจะยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนอยู่ เนื่องจากเป็นปีแรกที่ทีมบริหารชุดใหม่เข้ามาปรับโครงสร้างการดำเนินงานภายในและการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ทำให้การเดินหน้าการขายโครงการยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ แต่มองว่าในปี 63 จะมีโอกาสพลิกกลับมามีกำไรได้ จากการที่บริษัทจะเริ่มรุกการพัฒนาและขายโครงการแนวราบมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัท ส่วนแผนการเปิดเตรียมเปิดโครงการแนวราบเพิ่มอีก 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6 พันล้านบาท ได้แก่ ทำเลโครงการบางพระ, โครงการแพรกษา, โครงการบางใหญ่ จำนวน 2 โครงการ, โครงการบางใหญ่ (2), โครงการติวานนท์, และโครงการบางบัวทอง อีกทั้งยังได้ทำการศึกษาและพัฒนาที่ดินบริเวณ กัลปพฤกษ์ เพื่อสร้างแบรนด์ใหม่ย่านฝั่งธนบุรี โดยมีแผนจะสร้างบ้านแฝด 3 ชั้น บนเนื้อที่ 9 ไร่ ขนาด 36-37 ตารางวา จำนวน 70-80 ยูนิต มูลค่าโครงการราว 400 ล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินของบริษัทจะทยอยซื้อที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องของผู้บริโภคในกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยจะเน้นการหาที่ดินบนทำเลกรุงเทพตะวันออก ย่านรามอินทรา อ่อนนุช และกรุงเทพโซนเหนือ เช่น รังสิต เป็นต้น โดยที่บริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับซื้อที่ดินไว้ที่ 1.9 พันล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อที่ดินจำนวน 10 แปลงภายในปี 63 โดยจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ 200-300 ล้านบาท ในช่วงปลายปีนี้ อายุ 1.5-2 ปี โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดหาโครงการที่เป็นสต็อกของบริษัทเข้ามาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการออกหุ้นกู้ และในอนาคตบริษัทจะมีการจัดทำอันดับเครดิตเรทติ้งในการออกหุ้นกู้