ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 6 พันลบ. ของ TPIPL ที่ "BBB+/Positive" แทนหุ้นกู้ไม่เกิน 4 พันลบ.ชุดเดิม

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 17, 2019 16:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Positive" หรือ "บวก" นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วยเช่นกัน

โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่จะใช้ทดแทนอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาทที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 เนื่องจากบริษัทต้องการเพิ่มมูลค่าหุ้นกู้ที่จะออกจำหน่าย ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้นี้ไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 3 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงานในกลุ่มธุรกิจปูนซีเมนต์

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศไทย รวมถึงแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย และกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า อันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งอีกด้วยว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อโรงไฟฟ้าใหม่ทุกโรงของบริษัทดำเนินงานครบ 1 ปีเต็มแล้ว อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงไปบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจปูนซีเมนต์และพลาสติก รวมถึงความเสี่ยงจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ (Refuse-derived Fuel -- RDF) อีกทั้งข้อจำกัดจากการกระจุกตัวของแหล่งเงินกู้ยืมและความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญจากการกู้ยืมใหม่ (รีไฟแนนซ์) ของบริษัทอีกด้วยเช่นกัน

ผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง กระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายและประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้านั้นถือเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ธุรกิจปูนซีเมนต์ที่อ่อนแอนั้นยังคงฉุดผลการดำเนินงานโดยรวมและความเข้มแข็งทางเครดิตของบริษัทอยู่ ทั้งนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 45.8% จากปีก่อน สถานะทางการเงินของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายลดลงมาอยู่ที่ 6.6 เท่าในเดือนมิถุนายน 2562 จาก 7.6 เท่าในปี 2561 และ 11.2 เท่าในปี 2560

ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะลดลงสู่ระดับ 6.0 เท่าในอีก 2 หรือ 3 ปีข้างหน้าได้หากไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้ยืมเป็นหลักเกิดขึ้นหรือหากธุรกิจปูนซีเมนต์ไม่อ่อนแอลงไปมากกว่าเดิม นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมีข้อสังเกตด้วยว่ากระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าของบริษัทจะเริ่มลดลงในปี 2565 เนื่องจากการหมดอายุของส่วนเพิ่มของราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะจำนวน 2 โรงที่มีกำลังการผลิต 20 และ 60 เมกะวัตต์

อันดับเครดิตยังลดทอนลงจากการขาดแหล่งเงินกู้ยืมที่หลากหลายของบริษัทอีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทพึ่งพาหุ้นกู้เป็นแหล่งเงินทุนเป็นอย่างมาก โดยปริมาณของหุ้นกู้นั้นคิดเป็นสัดส่วนถึง 84% ของหนี้สินคงค้างโดยรวมของบริษัท ความเสี่ยงในการชำระคืนหนี้หรือการรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เหล่านี้จึงถือว่ามีนัยสำคัญเนื่องจากมูลค่าของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณ 7.2 พันล้านบาทในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.72 หมื่นล้านบาทในปี 2564

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Positive" หรือ "บวก" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะดียิ่งขึ้นจากแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจปูนซีเมนต์และสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นของกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากธุรกิจปูนซีเมนต์ของบริษัทฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญและโรงไฟฟ้าของบริษัทสร้างกระแสเงินสดจำนวนมากในขณะเดียวกันกับที่บริษัทสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ตามแผน นอกจากนี้ หากบริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้ต่ำกว่า 6 เท่าได้เป็นระยะเวลานาน อีกทั้งบริษัทมีแหล่งกู้ยืมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นก็อาจเป็นเงื่อนไขให้มีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตได้อีกด้วยเช่นกัน

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ/หรือบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้เกินตัว นอกจากนี้ การสูญเสียส่วนทุนจำนวนมากไปกับคดีความที่ดำเนินอยู่ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญซึ่งอาจทำให้อันดับเครดิตปรับลดลงได้เช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ