OR วางเป้าเพิ่มสัดส่วน EBITDA นอนออยล์-ตปท.ใน 5 ปี ทรานส์ฟอร์มธุรกิจมุ่งโกลบอลแบรนด์-สร้างคุณค่าสังคมชุมชน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 29, 2019 08:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่วางแผน บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) หรือโออาร์ เปิดเผยว่า บริษัทซึ่งเป็นเรือธง (Flagship) ในกลุ่มน้ำมันและค้าปลีกของกลุ่มบมจ.ปตท. (PTT) อยู่ระหว่างดำเนินโครงการปรับปรุงองค์กร (transform) เพื่อรับมือกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (disruptive technology) ซึ่งจะเน้นเรื่องกลยุทธ์และการตลาด ที่ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์ โดยมีเป้าหมายระยะแรกในช่วง 2 ปีจากนี้ เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก ที่จะสร้างคุณค่าให้กับชุมชนและสังคม ตลอดจนลดขั้นตอนการทำงานให้มีความรวดเร็ว และดึงศักยภาพของบุคลากรมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ สร้างความคล่องตัวทางธุรกิจเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

ขณะที่สัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ 3 เสาหลักธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจน้ำมัน ,นอนออยล์ และต่างประเทศ จะเปลี่ยนแปลงในช่วง 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่ EBITDA ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจน้ำมัน 60-70% ,นอนออยล์ 24% และต่างประเทศ 6-7% ก็จะเปลี่ยนไป โดยสัดส่วน EBITDA ของนอนออยล์ และต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น จากการเติบโตของร้านคาเฟ่ อเมซอน ในต่างประเทศ และเศรษฐกิจของประเทศรอบบ้านเติบโต ขณะที่สัดส่วน EBITDA ธุรกิจน้ำมันจะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากในประเทศคาดว่าจะมีพลังงานทดแทนที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และเศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตได้ไม่มากนัก

"สิ่งที่เราคาดหวังจากการ transform คือหนึ่ง สิ่งที่เรากำหนดว่าอยากเป็น global brand ให้สังคมชุมชนมีคุณค่ามากขึ้น เรื่องพวกนี้จะเข้ามา และสอง เราจะ healthy มากขึ้น กิจกรรมต่าง ๆ เรื่อง productivity เราจะ slim และขั้นตอนการทำงานรวดเร็วขึ้น คนทำงานมีความสุขมากขึ้น เพราะเราเค้นศักยภาพพนักงานขึ้นมา และที่จะเห็นเข้ามามาก ๆ คือเราไม่ได้โตคนเดียว ทำงานคนเดียว จะมีพันธมิตรเข้ามาทำงานมากขึ้น และวันนี้ธุรกิจเดินด้วยแพลตฟอร์ม และแพลตฟอร์มส่วนใหญ่อยู่ในมือของต่างประเทศ"นายบุรณิน กล่าว

นายบุรณิน กล่าวอีกว่า บริษัทเริ่มกระบวนการทรานส์ฟอร์มมาแล้ว 3-4 เดือน สิ่งที่เริ่มเห็นในขณะนี้คือการเปลี่ยนชื่อสถานีบริการจาก PTT เป็น PTT Station ครบทุกแห่งแล้ว โดย ณ สิ้นเดือนมิ.ย.62 มีสถานีบริการน้ำมันในประเทศ 1,835 แห่ง และต่างประเทศ 281 แห่ง ในกัมพูชา ,ลาว และฟิลิปปินส์ ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนในประเทศ ก็จะยังเห็นการขยายสถานีบริการน้ำมันต่อเนื่อง แต่อาจไม่ได้เติบโตมากเหมือนการขยายร้านคาเฟ่ อเมซอน โดยเป็นการเติบโตในระดับถนนสายรอง หรือชุมชน เพราะสถานีบริการน้ำมันถนนสายหลักมีค่อนข้างมากแล้ว อีกทั้งการขยายถนนสายรองยังสามารถตอบสนองต่อชุมชนได้มากขึ้น โดยสามารถนำสินค้าจากชุมชนเข้ามาจำหน่ายในสถานีบริการมากขึ้นด้วย เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก

นอกจากนี้ภายในสถานีบริการก็จะต้องเชื่อมโยงกับธุรกิจสมัยใหม่ อย่างการให้บริการดิลิเวอรี่ รวมถึงบางแห่งก็ต้องมีสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charge) เพื่อตอบรับกับทิศทางในอนาคตที่คาดว่าจะมีปริมาณรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามากขึ้น โดยปัจจุบันมี EV Charge แล้ว 17 แห่ง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 20-25 แห่งในปี 63 โดยจะเริ่มพิจารณาการติดตั้งระบบ Quick Charge มากขึ้นด้วย เพื่อลดระยะเวลาการใช้บริการ ขณะเดียวกันน้ำมันที่จะให้บริการก็จะเน้นความเป็นสีเขียวมากขึ้น อย่างผลิตภัณฑ์ B10 ,B20 ,E10 ,E20 ตลอดจนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิลด้วย

ส่วนธุรกิจนอนออยล์ ร้านคาเฟ่ อเมซอน นับว่ามีศักยภาพที่สุดในนอนออยล์ประเภทต่าง ๆ โดย ณ สิ้นส.ค.62 มีร้านคาเฟ่ อเมซอน ในไทย 2,700 แห่ง ซึ่งกลยุทธ์การเติบโตของนอนออยล์ ไม่ได้เน้นเพียงการขยายสาขา แต่จะต้องเติบโตในเรื่องของระบบการบริการ ระบบบริหารจัดการภายในร้าน และสินค้า โดยจะต้องเชื่อมโยงการบริหารจัดการ มาตรฐาน และนำประโยชน์จากดิจิทัลมาใช้ ขณะที่การเติบโตในต่างประเทศ ก็จะเน้นในประเทศยุทธศาสตร์ หรือประเทศที่จะสร้างการรับรู้เรื่องแบรนด์ รวมถึงการนำสินค้าชุมชนเข้าสู่แพลตฟอร์มเพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาด ซึ่งจะช่วยเกษตรกร และชุมชน หรือเอสเอ็มอีให้แข็งแรงมากขึ้น

สำหรับนอนออยล์ ประเภทอื่น ๆ ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ ภายใต้ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ที่มีสัญญาการให้บริการในสถานีบริการน้ำมัน และร้านจิฟฟี่ ซึ่งเป็นของกลุ่มโออาร์ , ศูนย์บริการยานยนต์ฟิตออโต้ (Fit Auto) , ร้านค้าทึ่ซื้อไลเซนส์แบรนด์เข้ามาดำเนินงาน เช่น ไก่ทอดเท็กซัส ร้านติ่มซำฮั่วเซ่งฮง ,ร้านโดนัท แด๊ดดี้ โด เป็นต้น

ด้านธุรกิจต่างประเทศ โออาร์ ดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ใน 3 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว และฟิลิปปินส์ รวมกัน 281 แห่ง และมีร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน 222 แห่ง ใน 9 ประเทศ ได้แก่ จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และโอมาน ขณะที่ร้านสะดวกซื้อ จิฟฟี่ 77 แห่ง ใน ลาวและกัมพูชา รวมถึงมีธุรกิจให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานในสนามบินหลัก 3 แห่งในกัมพูชา และจัดหาน้ำมันอากาศยานให้กับบริษัทในลาว และล่าสุดร่วมกับพันธมิตรในเมียนมา เพื่อทำโครงการธุรกิจคลังและค้าส่งปิโตรเลียม และโครงการธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีก โดยจะเห็นสถานีบริการน้ำมันแห่งแรกในเมียนมา ในช่วงไม่เกินไตรมาส 2/63

นายบุรณิน กล่าวอีกว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบ จะเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 60-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับราว 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว โดยราคาน้ำมันจะแกว่งตัวในกรอบดังกล่าว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีลักษณะซึม ๆ และทรงตัว และยังไม่มีสัญญาณที่จะพุ่งขึ้นกลับมาเติบโตมาก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันคงจะไม่เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ซัพพลายยังคงมีมาก จากที่สหรัฐผลิตออกมาค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีปัจจัยจากความตึงเครียดตะวันออกกลาง และการลดการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่จะช่วยประคองทิศทางราคาน้ำมันอยู่ ส่วนการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้านั้น น่าจะเข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดน้ำมันในช่วง 8-10 ปีข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ